All About Japan

10 ที่ในโตเกียวที่เปรี้ยวเองได้โดยไม่พึ่งทัวร์

การเดินทาง Kanto
10 ที่ในโตเกียวที่เปรี้ยวเองได้โดยไม่พึ่งทัวร์

รวม 10 ที่ในมหานครโตเกียวที่เดินทางง่ายไม่ต้องพึ่งทัวร์ แม้คุณจะพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลยสักนิด

1.โอไดบะ (Odaiba) จุดชมวิวริมทะเลที่สุดบันเทิงของโตเกียว

1.โอไดบะ (Odaiba) จุดชมวิวริมทะเลที่สุดบันเทิงของโตเกียว

เป็นเมืองธุรกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของโตเกียว ที่เป็นแหล่งรวมทั้งสถานบันเทิง, ห้างสรรพสินค้า, แฟชั่น, สวนสนุกขนาดใหญ่, สวนสาธารณะ, สถานีโทรทัศน์ชื่อดังของญี่ปุ่นอย่างฟูจิทีวี และถือเป็นแหล่งเที่ยวยามค่ำคืนที่สุดแสนโรแมนติคจากวิวของสะพานสายรุ้ง เรนโบว์บริดจ์ (Rainbow Bridge) พ่วงด้วยรูปปั้นเทพีเสรีภาพจำลอง และที่นี่ยังมีชิงช้าสวรรค์ที่เคยสูงที่สุดในโลก (115 เมตร) นอกจากนี้ที่โอไดบะยังมีออนเซ็นชื่อโอเอโดะออนเซ็นโมโนกาตาริ (Oedo onsen monogatari) ที่จำลองสถานที่ให้เหมือนย้อนไปในยุคเอโดะ เรียกได้ว่า ที่นี่มันช่างครบรสในที่เดียว สามารถเดินเล่นเองได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ แถมการเดินทางก็แสนง่ายด้วยรถไฟลอยฟ้าสายเดียว

วิธีเดินทาง :นั่งรถไฟลอยฟ้าหรือโมโนเรลสาย Yurikamome ลงที่สถานี Daiba
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าใช้จ่าย เตรียมไปแต่ค่าช้อบปิ้งและเข้าออนเซ็นที่โอเอโดะออนเซ็น โมโนกาตาริ
เวลาทำการ : ห้างส่วนใหญ่ในแถบนั้นจะมีเวลาทำการ 11:00–21:00 (ไม่มีวันหยุด)

2.วัดอาซากุสะ (Asakusa Kannon Temple) หรือวัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) วัดแรกที่คนเที่ยวญี่ปุ่นต้องไปชม

2.วัดอาซากุสะ (Asakusa Kannon Temple) หรือวัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) วัดแรกที่คนเที่ยวญี่ปุ่นต้องไปชม

เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียว เนื่องด้วยความเชื่อว่าเทพเจ้าอาซากุสะที่ประทับอยู่ในวัดนี้มีความศักดิ์สิทธิ์และให้พรต่างๆแก่มนุษย์ได้ จึงมีนักท่องเที่ยวหลายล้านคนต่อปีต้องปักหมุดวัดแห่งนี้เป็นแลนด์มาร์คที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนโตเกียว นอกจากที่นี่มีเทพอันศักดิ์สิทธิ์และมีสัญลักษณ์ที่ดังไปทั่วโลก อย่างประตูโคมแดงหรือคามินาริมง แล้วก็ยังมีร้านค้าขายของที่ระลึกที่เป็นญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น อยู่สองข้างทางของถนนนากามิเสะให้ได้เดินชมเดินช้อปอีกเพียบ ส่วนการเดินทางนั้น เนื่องจากเป็นสถานที่ยอดฮิตก็เลยมีให้เลือกหลายสาย และแน่นอนว่า ทั้งป้ายบอกทางและผู้คนในแถบนั้นพูดภาษาอังกฤษกันคล่องปาก (แถมบางที่ยังพูดภาษาไทยได้ด้วย) ฉะนั้นเดินทางเองได้สบายบรื๋อ

วิธีเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินสายกินซ่า (Ginza line) ลงที่สถานี Asakusa, สาย Tobu Isesaki ลงที่สถานี Asakusa, หรือ Toei Asakusa ทางออก A4 สถานี Asakusa
ค่าเข้าชม : ไม่มีค่าเข้าชม
เวลาทำการ : เดือนเม.ย.-ก.ย. 6:00-17:00 น., เดือนต.ค.-มี.ค. 6:30-17:00 น.

3.สถานีรถไฟโตเกียว (Tokyo Station) ฝั่งทางออก Marunouchi

3.สถานีรถไฟโตเกียว (Tokyo Station) ฝั่งทางออก Marunouchi

3.สถานีรถไฟโตเกียว (Tokyo Station) ฝั่งทางออกมารุโนะอุจิ (Marunouchi)
สถานีรถไฟโตเกียวเป็นศูนย์กลางของรถไฟสายต่างๆในภูมิภาคคันโตนี้ ซึ่งแน่นอนว่า ความใหญ่อลังการของสถานีนี้อาจทำเอามือใหม่หัดเที่ยวขาสั่นไปเล็กน้อย แต่ยังไงก็ยังอยากแนะนำให้ไปเที่ยวด้วยตัวเองอยู่ดี เพราะสถานีนี้ ไม่ว่านั่งรถไฟสายไหนส่วนใหญ่ก็จะต้องผ่านสถานีนี้ ขอเพียงแค่เรายึดป้ายบอกทางให้มั่น ว่าเราจะออกทางออก มารุโนะอุจิ (Marunouchi) เท่านั้น เมื่อเราออกมาด้านนอกได้แล้วนั้น ภาพเบื้องหน้าของตัวอาคารสถานีรถไฟโตเกียว ที่ก่อจากอิฐแดงเป็นอาคารสไตล์ยุโรปที่คล้ายคลึงกับ สถานีรถไฟ Amsterdam Central แห่งเนเธอแลนด์ จะทำให้เราคลายความกังวลจากความสับสนของสายรถไฟได้ทันที ตอนกลางวันว่าสวยแล้ว กลางคืน ก็จะมีประดับไฟสาดไปที่อาคารยิ่งน่าหลงใหลไปอีก หรือถ้าหากใครอยากไปหาของกินหรือช้อปปิ้ง รวมทั้งไปชมร้านค้าคาแร็คเตอร์สารพัดการ์ตูน ที่ชั้นใต้ดินของอาคารสถานีฝั่งทางออก Yaesu Underground Central Exit ที่เรียกว่า First Avenue Tokyo Station ก็มีเพียบ หรือห้างที่เพิ่งเปิดใหม่ฝั่งตรงข้ามสถานีที่ทำจากอาคารไปรษณีย์เก่าอย่าง Kitte ก็สามารถแวะไปชมได้ แต่ถ้าใครหลงจริงๆก็สามารถสอบถามเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำที่ชั้น B1 GRANSTA (ด้านในช่องตรวจตั๋ว)ด้วยภาษาอังกฤษได้เลยจ้า

วิธีการเดินทาง นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย Marunouchi ลงสถานี Tokyo ,รถไฟ JR สาย Yamanote ลงสถานี Tokyo
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าใช้จ่าย
เวลาทำการ : ตามเวลารถไฟ 05:00-00:20 น.

4.ชิบูย่า (Shibuya) แหล่งแฟชั่นและพื้นที่ของวัยรุ่น

4.ชิบูย่า (Shibuya) แหล่งแฟชั่นและพื้นที่ของวัยรุ่น

เป็นอีกแหล่งขวัญใจวัยรุ่นขาช้อปที่ชอบการเดินทางที่ไม่ยุ่งยาก แต่ผู้คนอาจจะเบียดเสียดหน่อยเพราะไม่ว่าจะคนญี่ปุ่นเองหรือนักท่องเที่ยวก็ต่างมาประชันแฟชั่นและเป็นแหล่งเช็คเทรนด์การแต่งตัวกันที่นี่ ที่นี่จะมีร้านค้าแบรนด์ดังทั้งไฮเอ็นด์และสตรีทแฟชั่นอยู่เต็มไปหมด ทั้งที่อยู่ในห้างแฟชั่นขนาดใหญ่อย่าง Shibuya109 หรือ 109MEN’S ถ้าใครใจไม่แข็งพอก็อาจจะต้องขายรถขายบ้านมาช้อปกันที่นี่เลยก็เป็นได้ การเดินทางก็มาได้ง่ายโดยนั่งรถไฟสายยามาโนเตะ (Yamanote) มาลงสถานีชิบูย่า หรือจะใช้รถไฟรอบเมืองสายยามาดะ เซ็น (Yamada sen) ก็ได้ เมื่อเดินออกมาแล้วก็จะเจอรูปปั้นสุนัขผู้ซื่อสัตย์ฮาจิโกะ (Hachiko) ที่เป็นสัญลักษณ์ของชิบูย่าตั้งอยู่ตรงสี่แยกที่อยู่ทางออกของสถานีรถไฟ ด้านหน้าของแยกชิบูย่าที่มีคนข้ามถนนขวักไขว่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งนั่นเองใครจะเดินเล่นชมของให้กระเป๋าสตางค์สั่นหรือจะสโลว์ไลฟ์ให้ข้ามขั้วด้วยการนั่งดื่มกาแฟสตาร์บั๊คส์แล้วมองลงมาดูคนมหาศาลเดินข้ามแยกกันก็ไม่เลวนะจ๊ะ

วิธีการเดินทาง นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย Ginza Line,รถไฟ JR สาย Yamanote Line,รถไฟ JR สายShonan-Shinjuku Line ออกทางออก Hachiko Exit
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าใช้จ่าย
เวลาทำการ : รถไฟวิ่งแทบทั้งคืน ส่วนห้างจะเปิด 10.00-21.00 น.

5.ฮาราจูกุ (Harajuku) ย่านแฟชั่นวัยรุ่นเบอร์หนึ่งของโตเกียว

5.ฮาราจูกุ (Harajuku) ย่านแฟชั่นวัยรุ่นเบอร์หนึ่งของโตเกียว

ศูนย์รวมวัยรุ่นอีกแห่งที่แซ่บไม่แพ้กัน เพราะความสะดุดตาของเสื้อผ้าหน้าผม โดยเฉพาะสาวกคอสเพลย์ ที่จัดเต็มกันแบบไม่ยอมใคร และไปรวมตัวกันที่สะพานจิงกู บาชิ (Jingu Bashi) เรียกเสียงแฟลชได้รัวๆจากนักท่องเที่ยว แต่หากใครอยากโฉบไปดูร้านรวงของวัยรุ่นแซ่บๆที่มีเต็มสองข้างทาง ทั้งมือหนึ่งมือสองก็ต้องเดินไปที่ถนนทาเคชิตะ โดริ (Takeshita dori) ที่ไม่ว่าใครก็ต้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมา ส่วนใครที่เดินจนเหนื่อยแล้ว ในแถบสถานีนี้ก็ยังมีศาลเจ้าขนาดใหญ่ชื่อ เมจิ จิงกู (Meiji Jingu) ที่เราสามารถเดินเข้าไปสงบจิตภายใต้ต้นไม้ที่ร่มรื่นได้ในระยะทางไม่ไกลนัก เรียกได้ว่าเป็นอีกที่ ที่ครบทุกรสของการมาเยือนเพียงแค่ลงรถไฟในสถานีนี้สถานีเดียว

วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line ลงสถานี Harajuku
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าใช้จ่าย
เวลาทำการ : ศาลเจ้าเปิดทำการ 9.00-16.00 น. ส่วนร้านค้าที่ถนน Takeshita doriส่วนใหญ่จะเปิดเวลา 10:00-20:00 น. ส่วนวัยรุ่นคอสเพลย์จะมารวมตัวกันเยอะๆตอนเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 11:00 น. เป็นต้นไป

  • 1
  • 2
  • 1
  • 2
  • 1
  • 2
know-before-you-go