โรงอาหารของมหาลัยญี่ปุ่นเป็นอย่างไรนะ
โรงอาหารมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น
อันนี้ไม่เหมือนกันทุกที่นะ แต่โรงอาหารของมหาลัยป้าเมโกะอยู่ลึกเข้าไปในสวนเล็กน้อย บรรยากาศร่มรื่น วันไหนอากาศดีๆที่สวนหน้าโรงอาหารจะมีคนมาปิคนิคและมาอ่านหนังสือในสวนเยอะมากๆ
ป้ายหน้าโรงอาหาร
จุดเด่นของโรงอาหารญี่ปุ่นคือจะมีการบอกเวลาเปิดปิดและเมนูอาหารประจำฤดูกาลชัดเจน เพราะเขาไม่ได้เปิดตลอดทั้งวัน และเมนูก็เปลี่ยนไปตามวัตถุดิบของแต่ละเดือน
วิธีสังเกตง่ายๆสำหรับใครยังไม่คุ้นกับภาษาญี่ปุ่น คือ ถ้าโรงอาหารเปิดจะมีการปักธง (เขียนด้วยอักษรคันจิ 営業中) เป็นอันรู้กันว่าโรงอาหารพร้อมเปิดบริการแล้ว
คำว่า 営業中 ซึ่งแปลว่าเปิดบริการ ยังสามารถพบเห็นได้ตามร้านค้าทั่วไปอีกด้วย
การจัดระบบที่เป็นเลิศ
ที่น่าชื่นชมสำหรับโรงอาหารญี่ปุ่นเลยคือการจัดระบบของที่นี่ ในช่วงพักเที่ยงเป็นช่วงที่คนเยอะและเวลาจำกัด (หลายๆโรงเรียนที่ญี่ปุ่นพักเที่ยงกันแค่ 50นาทีเท่านั้น คือตั้งแต่เวลา 12.10-13.00 น.) ซึ่งกว่าจะเดินจากห้องเรียนลงมาทานข้าวที่โรงอาหารก็ใช้เวลาไปหลายนาทีแล้ว ดังนั้นระบบการจัดการจึงเป็นสิ่งสำคัญ ว่าจะทำอย่างไรให้นักศึกษาและบุคลากรทานข้าวได้อย่างอิ่มอร่อยและกลับไปทำงานต่อได้ทันเวลา
โชว์อาหารตัวอย่าง จะกินอะไรดีไม่ต้องตัดสินใจนาน
สมเป็นประเทศแห่งอาหารตัวอย่างจริงๆ เพราะไม่เพียงแต่ร้านอาหารทั่วไปเท่านั้น แม้แต่ในโรงอาหารก็มี "โมเดลอาหารตัวอย่าง" ทำจากเรซิ่น ให้ดูอย่างละเอียดพร้อมบอกราคาชัดเจน
ป้าเมโกะจำได้ว่าสมัยเรียนที่ไทย นักเรียนแลกเปลี่ยน ฝรั่ง จีน หรือคนญี่ปุ่น จะยืนอยู่หน้าร้านกับข้าวนานมากๆ จดๆจ่อๆ เล็งไปเล็งมา นี่คืออะไร เผ็ดไหม จะกินได้หรือเปล่า ถามแม่ค้านานมากๆ ปัญหานี้จะหมดไปเมื่อมีอาหารตัวอย่างพร้อมรายละเอียดด้านหน้าโรงอาหาร เพื่อให้คนตัดสินใจได้เร็ว ไม่ต้องไปยืนออกันในโรงอาหารให้แออัด ลดเวลาได้ดีจริงๆ
ราคาอาหารก็ย่อมเยา มีแค่ 500 เยนก็อิ่มท้องไปได้สบาย เทียบกับการทานข้างนอก มื้อเที่ยงก็จะตกประมาณ 700-1,000 เยน (ประมาณ 250-300 บาท) หรือถ้าเป็นย่านธุรกิจก็อาจแพงกว่านี้ โรงอาหารจึงเป็นที่ฝากท้องได้ดีสำหรับนักศึกษาที่ไม่ค่อยมีเงิน
เอาละ เมื่อเลือกเมนูที่อยากทานแล้วก็ไปเข้าแถวตามประเภท เช่น เลือกทานข้าวหน้าหมูย่าง ซึ่งเป็นประเภทข้าวหน้าต่างๆ ก็ไปต่อแถวสีเหลืองได้เลย
ก่อนอื่นก็อย่าลืมหยิบถาดนะ หยิบแล้วไปต่อแถวได้เลย
มีป้ายแนะนำต่างๆและแบ่งแถวอย่างชัดเจน เข้าใจง่าย ที่มหาลัยป้าภาษาอังกฤษเยอะมากๆ สบาย
เที่ยงนี้มีอะไรน่าอร่อยบ้าง
เมนูก็คล้ายกับร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป เช่น ข้าวหน้าต่างๆ ราเมง พาสต้า สลัดและของหวาน ซึ่งจะมีทั้งแบบยืนพื้นขายตลอดทั้งปี เช่น พวกข้าวแกงกะหรี่และราเมงที่เป็นอาหารหลักของคนญี่ปุ่น หรืออาจจะมีเมนูแต่ละซีซั่น อย่างเช่นของหวานประจำฤดูใบไม้ผลิ ก็จะมีขนมสีซากุระแบบนี้ขาย
ที่ไม่น่าจะเหมือนมหาลัยที่ไทย คือที่นี่มีโซนบุฟเฟต์ แม้จะชื่อว่าบุฟเฟต์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตักได้ไม่อั้นในราคาเดียวนะ แต่หมายถึงตักได้ไม่อั้นแต่จ่ายราคาตามจริง (ป้าเสียใจเบาๆ)
สลัดบาร์ในโซนบุฟเฟ่ต์ ป้าชอบโซนนี้มาก อร่อย ทำให้การกินผักไม่น่าเบื่อ
แต่ที่โซนบุฟเฟ่ต์ต้องตักใส่จานพิเศษเสียหน่อย เพราะเขาจะคิดเงินจากการชั่งน้ำหนักตามจริง
ตราชั่งมีไว้พร้อม เอาไว้เช็คเผื่อหิวตาลายตักเยอะเกินแต่ตังค์ไม่พอจ่าย อิอิ
เลือกแล้วก็ไปจ่ายเงินกันเลย
เลือกเสร็จก็ไปจ่ายเงินกันเลย อาหารจากโซนบุฟเฟ่ต์ก็จะชั่งคิดเงินอีกที ส่วนเมนูธรรมดาอื่นๆก็คิดเงินตามปกติ
จ่ายเงินง่ายๆ
ที่ญี่ปุ่นแม้แต่ในโรงอาหารมหาลัย ก็สามารถใช้บัตร IC card ได้แล้วนะ (เช่น PASMO หรือ SUICA) ซึ่งปกติเป็นบัตรเติมเงินที่เอาไว้โดยสารรถไฟหรือรถบัส ป้าชอบใช้มากเพราะสะดวกสุดๆ เพราะลำพังแค่ถือของกินก็หนักแล้ว เวลารับเงินทอนก็ไม่ลำบากเปิดกระเป๋าตังค์ไปมาอีก
จ่ายเงินเสร็จแล้วก็จะเจอกับโซนเครื่องปรุงต่างๆ เช่น โชยุ เกลือ พริกไทย และน้ำสลัดนานาชนิด วางไว้ให้เราราดเองได้ (ถูกใจมาก)
"หลักการทานอาหารแบบสามสี" ของคนญี่ปุ่น
โรงอาหารที่นี่ดี๊ดีอยู่ติดกับสวน ทานอาหารไปชมวิวไป ดีต่อใจมากๆ วันนี้ป้าขอเป็นสายเฮลตี้นิดนึงหลังจากจัดบุฟเฟ่ต์เนื้อย่างติดกันมาหลายวัน T_T จึงขอกินตามหลักทานอาหารของคนญี่ปุ่นเสียหน่อย นั่นคือหลักการทานอาหาร 3 สี ซึ่งหมายถึงใน 1 มื้อควรประกอบไปด้วย 3 สี ได้แก่ สีแดง เหลือง และเขียว
・สีแดงหมายถึงอาหารที่ช่วยเสริมสร้างร่างกาย เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ ปลา ถั่ว ไข่ เต้าหู้ หรือนม หมายถึงอาหารต่างๆที่มีโปรตีนนั่นเอง
・สีเหลืองคืออาหารที่ให้พลังงาน เช่น ข้าว ขนมปัง ข้าวโพด ไขมัน น้ำตาลเป็นต้น แน่นอนตรงนี้ต้องคุมปริมาณให้ดีนะ
・ส่วนสุดท้ายคือสีเขียว ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย หรือเป็นอาหารที่เพิ่มวิตามินและเกลือแร่ให้กับร่างกายเช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ
เป็นหลักการง่ายๆ ในการจัดอาหารที่สมดุลค่ะ มีประโยชน์มากเวลาไปกินบุฟเฟ่ต์ที่เลือกตักเองได้ อย่าลืมกินให้ครบทุกสีนะ
อยากรู้อะไรเช็คได้หมดทุกอย่าง
ใบเสร็จแสดงข้อมูลที่น่ารู้ไว้มากมาย จากเมื่อกี้ป้าจ่ายด้วยบัตร PASMO ก็บอกจำนวนเงินคงเหลือในบัตร ที่สำคัญยังบอกอีกด้วยว่ามื้อนี้ที่เราทานไปนั้นให้พลังงานทั้งหมดเท่าไร กี่แคลอรี่ มีเกลือเท่าไหร่ และมีอาหารสีแดง เหลือง เขียว เท่าไหร่ (อยู่ด้านล่างสุด ไม่นับบรรทัดสุดท้าย ใครอ่านออกลองซูมภาพดูนะ) ใครไดเอทอยู่มันเลิศจริงๆ
ความดีงามของโรงอาหารแบบปิด
บรรยากาศปลอดโปร่ง สะอาด และเป็นโรงอาหารแบบปิด ซึ่งอันนี้ป้าอยากให้มหาลัยในไทยทำกันให้หมด มากๆ ป้ายังจำได้ฝังใจแม้จะเรียนจบ ป.ตรี มาสักพัก ตอนนั้นป้ากำลังกินข้าวเที่ยงพร้อมกับติวหนังสือกับเพื่อนอยู่ นกก็บินผ่านไปผ่านมาคอยบินหาเศษอาหารพร้อมฝากสิ่งปฏิกูลไว้มากมาย มองไปบนเพดานก็เห็นหนูตัวใหญ่มากกำลังไต่ท่ออยู่ ป้ากับเพื่อนเกือบเป็นลม วงอ่านหนังสือแตกเลยทีเดียว (ตอนนี้ที่มหาลัยอาจจะดีขึ้นแล้ว ป้าหวังว่านะ)
อีกหนึ่งข้อดี คือมีตู้น้ำพร้อมแก้วน้ำให้ดื่มกันฟรี ของที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ น้ำเปล่าเย็นๆ น้ำอุ่น และชาเขียวร้อน
ทานเสร็จแล้วก็ได้เวลาเก็บจาน
ทานเสร็จแล้วก็ยกภาชนะมาคืน โรงอาหารในสถานศึกษาญี่ปุ่นส่วนใหญ่ฝึกวินัยโดยการให้เด็กเก็บจานเองค่ะ แต่ก่อนอื่นก็ให้แยกขยะเสียก่อนนะ เช่น แยกตะเกียบไม้ ขยะเผาได้ และขวดน้ำพลาสติกออกจากกัน
เมื่อแยกเสร็จแล้วก็นำจานใส่ลงสายพานที่จะเลื่อนไปยังห้องล้างจานอัตโนมัติพร้อมให้พี่พนักงานไปล้างต่อไป
ที่นี่มีทางเข้าและทางออกแยกกัน เพื่อไม่ให้วุ่นวายและให้เป็นระบบ เดินเข้าทางนึกออกอีกทางนึง มีประโยชน์มากๆในช่วงกลางวันที่คนแน่นสุดๆค่ะ ช่างคิดจริงๆ
สรุป
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับการพาทัวร์โรงอาหารในมหาลัยญี่ปุ่นในครั้งนี้ นอกจากเมนูอาหารที่น่าอร่อย เน้นสารอาหารครบถ้วนและราคาประหยัดแล้ว การจัดระบบของเขาก็ยอดเยี่ยมมาก แม้ปริมาณคนมาทานอาหารตอนเที่ยงจะเยอะมากแต่ด้วยระบบที่ดี ทำให้สามารถทานอาหารได้ทันเวลาพักและยังสามารถรักษาความสะอาดของโรงอาหารได้ดีเยี่ยม เห็นอย่างนี้แล้วป้าอยากให้ที่ไทยเอาระบบไปปรับใช้บ้าง ป้าหวังว่ารุ่นน้องของป้าจะได้ทานอาหารอร่อย สะอาด ไม่ต้องเจอเหตุการณ์ระทึกขวัญแบบป้าสมัยเรียน
รัก
ป้าเมโกะ