รู้จักกับดอกไม้ญี่ปุ่น
ดอกไม้
1 ซากุระ (Sakura)
คงไม่น่าจะมีใครที่ไม่รู้จักดอกซากุระ ซึ่งเป็นดอกไม้ดาวเด่นและสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นในใจใครหลายคน ลักษณะของดอกซากุระบริเวณส่วนปลายของกลีบดอกจะเป็นแฉกๆ ดอกสีขาวและสีชมพูซึ่งมีตั้งแต่ชมพูดอ่อนไปจนถึงโทนสีชมพูเข้ม และส่วนใหญ่ไม่มีกลิ่นหรือกลิ่นอ่อนมาก ซากุระมีหลายสายพันธุ์ โดยหลักๆ ที่พบเห็นได้บ่อยอย่างเช่น
โซเมโยชิโนะ (Somei Yoshino) สีขาวฟูฟ่อง
ยามาซากุระ (Yamazakura) ซากุระป่าที่ออกดอกพร้อมผลิใบ
ชิดาเระซากุระ (Shidarezakura) ที่กิ่งโน้มลงสู่พื้นดินตามแรงโน้มถ่วง
ซากุระจะบานช่วงกลางเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายนในเมืองสำคัญอย่างโตเกียว เกียวโต นาโกย่า และโอซาก้า แต่บางจังหวัดทางเหนือเช่นฮอกไกโดก็บานช้าถึงเดือนพฤษภาคม
พูดถึงจุดชมซากุระในญี่ปุ่นต้องบอกเลยว่ามีอยู่มากมายจนบรรยายทั้งวันก็ไม่หมด แต่ถ้าใครสนใจชมซากุระแบบที่มีวิวภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลังละก็ ทะเลสาบคาวางุจิโกะ (Lake Kawaguchiko) ซึ่งมีทำเลที่สามารถชมซากุระได้รอบทะเลสาบ และช่วงซากุระบานเต็มที่ราวกลางเดือนเมษายน ที่นี่ก็มีการจัดงานเทศกาลชมดอกซากุระฟูจิคาวางุจิโกะ (Fuji Kawaguchiko Sakura Festival) ด้วย โดยจะมีร้านอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าต่างๆ มาออกบูธ ส่วนตอนกลางคืนจะมีการประดับไฟไลท์อัพให้ชมความงามของซากุระยามค่ำคืนอีกด้วย
2 ดอกบ๊วย (Ume)
ดอกบ๊วยนั้นสวยงามคล้ายซากุระจนบางคนก็เข้าใจผิดว่าเป็นซากุระ เมื่อดอกบ๊วยผลิบาน นั่นหมายถึงการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ โดยดอกบ๊วยจะบานก่อนดอกซากุระตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมไปถึงเดือนมีนาคม ลักษณะของดอกจะมีกลีบกลมและมน มีตั้งแต่สีขาว สีชมพู ไปจนถึงสีแดงและแดงเข้มอมม่วง มีกลิ่นหวานหอมของดอกไม้
ถ้าหากสนใจจะไปชมดอกบ๊วยก็มีหลายจุดที่น่าสนใจอย่างเช่น สวนบ๊วยที่ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle Park) จังหวัดโอซาก้า นอกจากจะได้ชมดอกบ๊วยกว่า 100 สายพันธุ์รวมกันแล้วมากกว่า 1,270 ต้นในป่าบ๊วยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นแล้วก็ยังได้พบกับความงามที่น่าเกรงขามของปราสาทโอซาก้าไปพร้อมกันด้วย สำหรับไฮไลท์ของสวนบ๊วยที่นี่ก็คือ ต้นบ๊วยสายพันธุ์หายากอย่างเช่นสายพันธุ์โอโม่ย โนะ มามะ (Omoi no Mama) ที่ดอกบ๊วยจะมีทั้งดอกสีชมพูและดอกสีขาวอยู่ในต้นเดียวกัน
3 ดอกอะจิไซ (Ajisai)
ดอกอะจิไซ หรือชื่อในภาษาอังกฤษคือ ดอกไฮเดรนเยีย (Hydrangea) เป็นดอกไม้ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของฤดูฝนที่ญี่ปุ่น หากใครเคยเห็นภาพของดอกไม้ หอยทาก และหยดฝนบนใบไม้ นั่นแหละคือภาพของดอกอะจิไซผลิบานใหม่ในหน้าฝน
อะจิไซจะออกดอกในลักษณะเป็นเป็นพุ่มกว้าง มีดอกหลายสีทั้งสีขาว สีชมพู สีม่วง และสีฟ้า โดยสีที่ต่างกันนี้ขึ้นอยู่กับค่าความเป็นกรดด่างของดินที่ใช้ปลูก โดยบานในช่วงต้นเดือนมิถุนายนไปจนถึงช่วงกลางเดือนกรกฎาคม
สถานที่ชมดอกอะจิไซให้ชื่นใจในฤดูฝนแบบนี้นั้นมีอยู่หลายแห่ง อย่างที่วัดเมเก็ตสึอิน (Meigetsu-in Temple) เมืองคามาคุระ (Kamakura) จังหวัดคานางาวะ (Kanagawa) ซึ่งคนถึงกับเรียกกันอีกชื่อว่าวัดดอกอะจิไซ (Ajisaidera) ดอกอะจิไซของที่นี่เป็นสายพันธุ์ฮิเมะอะจิไซ (Hime-ajisai) กว่า 3,000 ต้น ซึ่งเป็นสายพันธุ์เก่าที่มีเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น ดอกอะจิไซสายพันธุ์นี้จะมีขนาดเล็กกว่าสายพันธุ์ใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นในประเทศตะวันตกและนำมาปลูกในญี่ปุ่น สีของดอกเป็นสีฟ้าเข้มงดงาม เดินชมได้ตั้งแต่ทางขึ้นวัดที่มีดอกอะจิไซขนาบอยู่สองข้างทาง
4 ดอกวิสทีเรีย (Wisteria)
ดอกวิสทีเรีย หรือดอกฟูจิ เป็นดอกไม้ดอกเล็กๆ มากมายรวมกันเป็นพวงระย้าคล้ายผลองุ่น มีหลายเฉดสีเช่น สีม่วง สีขาว สีชมพูและสีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกบานสะพรั่งในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิราวปลายเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม
ความงามของดอกวิสทีเรียหลากสีที่น่าตื่นตาสามารถพบได้ที่สวนคาวาจิฟูจิ (Kawachi Fuji Garden) จังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka) ที่นี่มีอุโมงค์ดอกวิสทีเรียที่มีความยาวประมาณ 100 เมตร ตลอดทางเดินจะมีดอกวิสทีเรียออกดอกบานสะพรั่งห้อยเป็นพวงระย้ากว่า 150 ต้น ทั้งสีม่วงเข้ม ม่วงอ่อน ชมพู ขาวไล่สลับสีกันไป
ดอกฟูจิเป็นดอกไม้ที่มีบทบาทสำคัญที่ปรากฏในการ์ตูนดังอย่าง ดาบพิฆาตอสูร (Kimetsu no Yaiba) ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี
5 ดอกฮิกันบานะ (Higanbana)
ดอกฮิกันบานะ หรือดอกมันจูชาเงะ (Red Spider Lily) เป็นดอกไม้ที่ถูกเรียกกันว่า ดอกไม้ของคนตายหรือดอกไม้นรก เหตุที่เรียกกันอย่างนี้ก็มีที่มาจากในอดีต คนมักนำหัวที่เต็มไปด้วยพิษของมันไปปลูกตามคันนาหรือแถวสุสาน เพื่อป้องกันหนูไม่ให้เข้าไปทำลายข้าวในนาหรือศพที่ถูกฝังไว้
ดอกฮิกันบานะบานในช่วงวันวสันตวิษุวัต ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นคือฮิกัน (Higan) ที่มาของชื่อดอกนั่นเอง ลักษณะดอกคล้ายแมงมุม มีทั้งสีแดง สีขาวและสีเหลือง บานราวๆ กลางเดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม
จุดชมดอกฮิกันบานะที่ขึ้นชื่อคือทุ่งดอกฮิกันบานะในสวนคินฉะคุดะมันจุชาเงะ (Kinchakuda Manjushage Park) ที่เมืองฮิดากะ (Hidaka) จังหวัดไซตามะ (Saitama) สวนนี้ตั้งอยู่ในโค้งแม่น้ำที่มีลักษณะโค้งคดเคี้ยวเป็นรูปทรงคล้ายกับถุงใส่ของ (คินฉะคุ) โดยทุ่งจะบานสะพรั่งไปด้วยดอกฮิกันบานะจำนวนมหาศาลกว่า 5 ล้านต้นเรียงรายจนดูเหมือนพรมแดงตลอดสองฝั่งแม่น้ำ
6 ดอกลาเวนเดอร์ (Lavender)
ดอกลาเวนเดอร์ เป็นดอกไม้ที่ออกดอกเป็นช่อ ช่วงของช่อดอกถึงปลายยอดยาวประมาณ 2 - 8 เซนติเมตร ดอกเป็นสีม่วง มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ เป็นดอกไม้ที่ชอบอากาศหนาวจึงนิยมปลูกกันมากในตอนเหนือของญี่ปุ่น บานสะพรั่งช่วงกลางเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนสิงหาคม
ถ้าอยากชมดอกลาเวนเดอร์เต็มทุ่งสวยๆ ก็ห้ามพลาดจังหวัดฮอกไกโด ที่ฟาร์มโทมิตะ (Farm Tomita) เมืองฟุราโนะ (Furano) ที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดชมดอกลาเวนเดอร์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเลยทีเดียว ในฟาร์มมีทุ่งดอกลาเวนเดอร์อีสต์ (Lavender East) ซึ่งเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น สามารถเข้าชมได้ตลอดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
7 ดอกทิวลิป (Tulip)
ดอกทิวลิป เป็นดอกไม้เมืองหนาวที่พอเห็นแล้วทำให้นึกถึงประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่ไม่ต้องไปไกลถึงขนาดนั้นที่ญี่ปุ่นก็มีทุ่งดอกทิวลิปขนาดใหญ่ให้ชมเช่นกัน ทิวลิปมีทั้งสีแดง สีชมพู สีขาว สีเหลือง สีออกม่วง บานในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม
ถ้าถามถึงจุดชมดอกทิวลิปสวยๆ ก็ต้องไม่พลาดที่ลานจตุรัสซากุระฟุรุซาโตะ (Sakura Furusato Square) เมืองซากุระ (Sakura) จังหวัดชิบะ (Chiba) ที่นี่เขามีการจัดเทศกาลชมดอกทิวลิป (Sakura Tulip Festa) เป็นประจำทุกปีตอนเดือนเมษายน ในงานจะได้ชมกับทุ่งดอกทิวลิปมากกว่า 100 สายพันธุ์รวมแล้วกว่า 800,000 ต้น มีการแสดง กิจกรรมต่างๆ และการออกร้านมากมาย
8 พุ่มโคเชีย (Kochia)
พุ่มโคเชีย เป็นพืชตระกูลหญ้าทรงกลม แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มต่ำ เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดงในฤดูใบไม้ร่วง มีชื่อญี่ปุ่นว่าโฮกิงุซะ (Hokigusa) ที่แปลว่าหญ้าไม้กวาด เพราะสมัยก่อนคนนิยมนำก้านและใบมาทำไม้กวาด ช่วงเวลาที่จะได้ชมโคเชียสวยๆ คือราวต้นเดือนกรกฎาคมไปถึงปลายเดือนตุลาคม
ชมพุ่มต้นโคเชียสวยๆ กว่า 32,000 ต้นได้ในสวนฮิตาชิ ซีไซด์ พาร์ค (Hitachi Seaside Park) เมืองฮิตาชินากะ (Hitachinaka) จังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) สวนนี้มีขนาดใหญ่มาก โซนที่เต็มไปด้วยพุ่มต้นโคเชียอยู่บริเวณเนินมิฮาราชิ (Miharashi no Oka) โดยมีพุ่มโคเคียใบสีเขียวอ่อนให้ชมในช่วงเดือนกรกฎาคมไปถึงกันยายน และจะค่อยๆ ผลัดเปลี่ยนเป็นสีส้ม และสีแดงในช่วงเดือนตุลาคม
9 ดอกเนโมฟีลา (Nemophila)
ดอกเนโมฟีลา หรือเบบี้บลูอายส์ (Baby Blue Eyes) เป็นดอกไม้ที่มีกลีบ 5 กลีบ ลักษณะของดอกคล้ายระฆัง สีดอกตรงกลางเป็นสีขาว และจากกลางดอกไปถึงปลายกลีบจะเป็นสีฟ้าค่อนไปทางน้ำเงิน บางทีก็ออกม่วงๆ จะออกดอกบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ บานสั้นๆตอนช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม
ทุ่งดอกเนโมฟีลา นอกจากสวนฮิตาชิ ซีไซด์ พาร์ค (Hitachi Seaside Park) ซึ่งโด่งดังมากในหมู่คนไทยแล้ว ก็ยังมีที่อุมิโนะนากะมิจิ ซีไซด์ ปาร์ค (Uminonakamichi Seaside Park) ซึ่งเป็นสวนริมทะเลขนาดใหญ่ในจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka) มีทุ่งดอกเนโมฟิลากว้างไกลกลมกลืนเป็นสีเดียวกับท้องฟ้า เป็นวิวที่สวยงามมาก นอกจากนี้ภายในสวนก็ยังมีโซนสวนสนุก สวนน้ำ และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอีกด้วย
10 ดอกชิบะซากุระ (Shibazakura)
ดอกชิบะซากุระ หรือที่รู้จักกันว่าดอกพิงค์มอส (Pink Moss) เป็นพืชตระกูลมอสที่เลื้อยเตี้ยๆ ไปตามพื้นดิน ลักษณะของกลีบดอกคล้ายดอกซากุระ แต่มีขนาดเล็กประมาณ 1.5 เซนติเมตร สีออกโทนโรแมนติกมีทั้งสีชมพู บานเย็น ม่วง และขาว สีชมพู ชื่อภาษาญี่ปุ่นมาจากคำว่าชิบะ (Shiba) ที่แปลว่าหญ้าและคำว่าซากุระ (Sakura) จึงแปลว่าหญ้าที่คล้ายกับซากุระ บานสะพรั่งช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม
จุดชมดอกชิบะซากุระยอดนิยมที่มีให้ดูแบบละลานตามีอยู่หลายที่ เช่น สวนฮิตสึจิยามะ (Hitsujiyama Park) เมืองจิจิบุ (Chichibu) จังหวัดไซตามะ (Saitama) ที่นี่ปลูกดอกชิบะซากุระสีสันสดใสไว้กว่า 400,000 ต้น บนพื้นที่ 11 ไร่ ปลูกไล่สลับสีกันบ้าง ทำเป็นลวดลายเหมือนภาพวาดศิลปะสวยงามบ้าง การสร้างสรรค์ความคิดตกแต่งดอกไม้แบบนี้ก็เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมาย
11 อิเคบานะ (Ikebana) หรือการจัดดอกไม้
เพื่อนๆ คงเคยได้ยินคำว่าอิเคบานะกันมาบ้าง อิเคบานะ (Ikebana) คือวัฒนธรรมการจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่นที่สืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย มาจากคำว่าอิเค ที่หมายถึง การจัด การวาง หรือในอีกความหมายแปลได้ว่าการมีชีวิต และบานะที่กร่อนเสียงมาจากฮานะ (Hana) ที่แปลว่าดอกไม้
การจัดอิเคบานะนั้นไม่ได้แค่นำดอกไม้มาวางรวมกัน แต่จริงๆ แล้ว ยังมีหลากสไตล์หลายรูปแบบ ในยุคแรกเป็นแบบริกกะ (Rikka) ตามหลักความคิดแบบพุทธ เน้นการจัดดอกไม้เป็นสองส่วนคือกิ่งหลัก และก้านสาขาย่อยๆ การจัดต้องวางตำแหน่งให้ชัดเจน ทำมุมกี่องศา ประกอบกิ่งไหนบ้าง
ต่อมามีรูปแบบที่เรียกว่า นาเงอิเระ (Nageire) ที่อยู่บนฐานของพุทธแบบเซนบนแนวคิดที่ว่า ดอกไม้หนึ่งดอกสามารถแทนจักรวาลได้ทั้งหมด การจัดจะเน้นให้เป็นไปตามธรรมชาติดั้งเดิมของดอกไม้
และเมื่อมาถึงช่วงศตวรรษที่ 18 ก็เกิดรูปแบบที่เรียกว่า เซกะ (Seika) หรือ โซกะ (Shoka) ขึ้น เป็นรูปแบบที่ผสมแนวคิดแบบริกกะกับนาเงเระเข้าด้วยกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด อิเคบานะก็เป็นเครื่องมือที่ทำให้เรามีสมาธิและให้เราได้ทำความเข้าใจตนเองมากขึ้น
ดอกไม้ที่กล่าวถึงไปนั้นนอกจากไว้ชื่นชมความสวยงามแล้วก็ยังมีประโยชน์อีกหลายด้าน เช่น สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ อย่างดอกซากุระที่นำมาแปรรูปเป็นซากุระโมจิ ชาซากุระ ซอฟต์ครีมซากุระ เป็นต้น หรือนำมาพัฒนาเป็นสินค้าหลายแนว เช่นดอกลาเวนเดอร์ที่นำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย เช่น สบู่ แชมพู ผงอาบน้ำ น้ำมันหอมระเหย เป็นต้น
นอกจากนี้ ดอกไม้ยังเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของวัฒนธรรมญี่ปุ่นด้วย วัฒนธรรมที่เกี่ยวกับดอกไม้ของญี่ปุ่นนั้นกว้างขวางและมีมากมาย ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นก็อยากให้ลองไปสัมผัสกับดอกไม้สวยๆ และวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ดูนะ
ผู้เขียน: hikawasa
หลังจากจบป.ตรีก็เริ่มงานในสายล่ามที่บริษัทญี่ปุ่นเช่น Satake Thailand, Hitachi Engineering & Services และรับงานล่ามให้นิตยสาร Custom Car ไปล่ามให้ตามงาน Motor Expo สักพักออกไปเรียนป.โทต่อที่ธรรมศาสตร์ ตอนทำวิทยานิพนธ์ ทาง Japan Foundation ให้ทุนนักศึกษาไปเก็บข้อมูลวิจัย ได้เห็นญี่ปุ่นในหลายมุม ปัจจุบันเป็นนักแปลฟรีแลนซ์ให้ Bongkoch Publishing, Siam Inter Multimedia Publishing, MEB Corporation ที่ทำสื่อดิจิทัลอีบุ๊คชั้นแนวหน้าของไทย และอีกมากมาย ได้โอกาสมาเป็นนักเขียนบทความท่องเที่ยวให้ AAJ ด้วย