รวมที่เที่ยวเด่นของคนไป "วากายามะ" ครั้งแรก
1. ภูเขาโคยะ (โคยะซัง)
ภูเขาโคยะเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์หนึ่งที่อยู่ในกลุ่มเทือกเขาคิอิในอาณาเขตของจังหวัดวากายามะ มีชื่อเสียงจากการเป็นจุดกำเนิดศาสนาพุทธนิกายชินงอนและความอุดมสมบูรณ์โดยรอบที่สวยงามและล้อมรอบด้วยป่าทึบที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยเหตุนี้เองจึงได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกในชื่อว่าเส้นทางแสวงบุญในเขตเทือกเขาคิอิ เนื่องจากเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับผู้เดินทางแสวงบุญมาตั้งแต่อดีต
ภูเขาโคยะเป็นชื่อเรียกรวมๆของกลุ่มแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นวัดและอาคารโบราณบนภูเขาโคยะซึ่งเต็มไปด้วยวัดญี่ปุ่นโบราณกว่า 117 วัด หลายที่มีอายุเกินกว่า 1,200 ปี เมื่อคุณได้เข้ามาเยี่ยมที่นี้คุณจะได้สัมผัสความเชื่อและศาสนาญี่ปุ่นโบราณที่ผสมผสานกับวิถีชีวิตของชาวบ้านท้องถิ่นได้อย่างลงตัว ถือว่าเป็นสเน่ห์อีกอย่างหนึ่งของที่นี้เลยทีเดียว
ยอดเขาโคยะเหมาะสำหรับผู้ที่อยากสัมผัสวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมเก่า การเดินป่ากลางธรรมชาติที่สวยงาม และกลิ่นอายของความเชื่อและศาสนาแบบญี่ปุ่นโบราณ หรืออยากจะหลบเลี่ยงความวุ่นวายในตัวเมืองเพื่อเข้าไปชมธรรมชาติที่เงียบสงบบ้างก็เหมาะ และที่สำคัญคือถ่ายรูปสวยมากทุกฤดูกาลและ ในส่วนของการเดินทางจะใช้เวลาเดินทางจากโอซาก้าเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะฉะนั้นหากมีเวลา จะลองมาไหว้พระขอพรกันที่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่าทีเดียว
(จุดที่ปักหมุดคือ Danjogaran วัดที่เป็นเหมือนปากทางสู่ภูเขาโคยะ)
2. ศาลเจ้าคุมาโนะนาชิ
คุมาโนะเป็นอีกเมืองที่อยู่ในจังหวัดวากายามะ เป็นสถานที่ตั้งของศาลเจ้าคุมาโนะนาชิ ศาลเจ้าชื่อดังที่สุดของเมืองและอีกหนึ่งศาลเจ้าที่อยู่ในเส้นทางแสวงบุญเทือกเขาคิอิ โดยศาลเจ้านี้มีความโดดเด่นที่การนำเอากลิ่นอายของศาสนาพุทธผสมกับสถาปัตยกรรมและความเชื่อแบบชินโตอย่างลงตัวและไม่แบ่งแยก ทำให้ศาลเจ้านี้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกับที่ใดในโลก
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งทางด้านความเชื่อของญี่ปุ่นก็คือตั้งอยู่ในเส้นทางแสวงบุญมีชื่ออย่างคุมาโนะโคะโด ซึ่งหากนักท่องเที่ยวอยากจะลองเดินไปตามทางเส้นทางนี้ก็สามารถทำได้เพราะว่าระหว่างที่เดินทางคุณจะได้พบกับธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ยากที่จะหาที่ใดเหมือน แต่จะต้องใช้เวลาเดินทางยาวนานพอสมควร หากคุณไม่มีเวลามากพอขนาดนั้นก็สามารถเลือกใช้เส้นทางย่อยๆเส้นทางอื่นแทน (เช่นเส้นทาง daimon-zaka) ซึ่งเส้นทางนี้ห่างจากหน้าประตูหน้าประตูศาลเจ้าคุมาโนะนาชิเพียงแค่ 600 เมตรและจะพาคุณไปสัมผัสกับธรรมชาติสวยงามเช่นเดียวกัน
ไฮไลท์อีกอย่างของที่นี้ก็คือเป็นสถานที่ตั้งของน้ำตกที่มีความสูงที่สุดในญี่ปุ่นอย่างน้ำตกนาชิ โนะ ทากิ น้ำตกที่ไหลต่อเนื่องและมีความสูง 133 เมตร ตัวน้ำตกตั้งตระหง่านอยู่ข้างหลังเจดีย์สามชั้นของวัดวัดเซกันโตจิซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ ศาลเจ้าคุมาโนะ นาชิเช่นเดียวกัน ทำให้เกิดภาพที่ดูมีมนต์ขลังเป็นอย่างมาก นอกจากนั้น น้ำตกนี้ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของเป็นยาอายุวัฒนะ ยืดอายุให้กับผู้ที่ได้ดื่มน้ำจากน้ำตกนี้อีกด้วย
ศาลเจ้าคุมาโนะนาชิอยู่ไม่ห่างจากป้ายรสบัส Daimonzaka เมื่อมาถึงป้ายรถบัสนี้ก็ใช้เวลาเดินเพียง 15 นาทีเท่านั้น โดยมีค่าเช้าชมศาลเจ้าเพียง 300 เยนเท่านั้น เรียกได้ว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับวิว ทิวทัศน์และความสงบที่จะได้รับจากสถานที่นี้
3. ย่านชิระฮามะออนเซ็น
สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งในวากายามะ ย่านชิระฮามะเป็นสถานที่ตากอากาศชื่อดังอีกทั้งยังห่างจากโอซาก้าเพียงแค่ 100 กิโลเมตรเท่านั้น โดยภายในย่านนี้จะมีรีสอร์ทสำหรับแช่น้ำร้อนหรือออนเซ็นมากมายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกใช้บริการตามใจชอบ นอกจากนั้นนักท่องเที่ยวยังสามารถเพลิดเพลินไปกับการเดินเล่นตามชายหาดที่ทอดตัวยาวอยู่รอบๆย่านนี้ได้อีกด้วย
จากที่เกริ่นไปว่าย่านชิระฮามะออนเซ็นมีทั้งออนเซ็นและทะเล ก็ไม่น่าแปลกใจที่ไฮไลท์ของที่นี้ก็คือการแช่ออนเซ็นกลางแจ้งริมทะเลซึ่งมีให้เลือกมากมาย เช่นที่บ่อน้ำพุร้อน Shirasuna (ค่าเข้า 200 เยน) หรือ Sakinoyu (ค่าเข้า 500 เยน) ซึ่งที่หลังนี้เป็นบ่อออนเซ็นญี่ปุ่นที่มีประวัติว่าเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวมานานกว่า 1,000 ปีแล้ว
ย่านท่องเที่ยวแห่งนี้เป็นย่านที่ติดกับทะเล ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอาหารการกิน เพราะว่ามีร้านอาหารทะเลเด็ดๆ ให้เลือกหลายร้าน โดยเมนูที่คนท้องถิ่นแนะนำให้ลองทานให้ได้เมื่อมาเยือนที่นี้ก็คือปลา longtooth groupe หรือที่ญี่ปุ่นจะเรียกว่าปลาคุเอะ เป็นปลาเนื้อขาวที่มีรสชาติหอมหวานนำมาปรุงแบบญี่ปุ่น ซึ่งขอบอกว่าอร่อยมากๆ
4. พิพิธภัณฑ์วาฬไทจิ
ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับวาฬที่ตั้งอยู่ในเมืองไทจิทางตะวันออกเฉียงใต้ของวาคายาม่า โดยเมืองนี้จะมีชื่อเสียงในด้านของการล่าวาฬซึ่งเป็นอาชีพหลักดั้งเดิมตั้งแต่ในสมัยโบราณของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองไทจินั้นเอง เพราะฉะนั้นพิพิธภัณฑ์วาฬไทจิจึงไม่ใช่แค่พิพิธภัณฑ์ที่แสดงถึงเรื่องราวของวาฬญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังบอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับวาฬตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอีกด้วย
นอกจากจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีการจัดแสดงเรื่องราวของวาฬในทางนิเวศวิทยาไปจนถึงการล่าวาฬแห่งเดียวของโลกแล้ว ยังมีการจัดแสดงวาฬและโลมาแสนน่ารักโดยจัดที่บ่อน้ำกลางแจ้งของทางพิพิธภัณฑ์ ซึ่งขอบอกว่าสำหรับผู้ที่มาเยือนประเทศญี่ปุ่น การแสดงโชว์โลมาเป็นสิ่งที่ควรมาดูเป็นอย่างมาก เพราะชาวญี่ปุ่นเค้าฝึกโลมาได้เป๊ะมาก อีกทั้งยังดึงความน่ารักของโลมาออกมาได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้ชมทั้งเด็กและผู้ใหญ่รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ พกความประทับใจกลับบ้านไปอย่างแน่นอน
หากจะบอกว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้แสดงเรื่องราวที่เกี่ยวกับการล่าวาฬ อาจจะทำให้เด็กหลายๆ คน รวมถึงผู้ใหญ่ไม่อยากเดินทางมาที่นี้ แต่จริงๆ แล้วพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงเรื่องราวของการล่าวาฬเพื่อต้องการทำให้ผู้คนเข้าใจถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นของที่นี่ ที่นอกจากจะเพื่อหาเลี้ยงปากท้องแล้ว ชาวบ้านยังล่าวาฬเพื่อช่วยรักษาระบบนิเวศอีกด้วย เพราะเมื่อมีวาฬมากเกินไป เค้าจะไปกินปลาในท้องทะเลจนหมดและส่งผลต่อธรรมชาติโดยรวม ยิ่งไปกว่านั้นทางพิธภัณฑ์ยังช่วยลดการฆ่าวาฬโดยการมอบอาชีพให้กับคนท้องถิ่นทางอ้อม เพราะทางพิพิธภัณฑ์จะรับซื้อวาฬจากชาวบ้านเพื่อมาฝึก ก่อนจะส่งไปยังอะควาเรียมที่ต่างๆ หากคุณสนใจอยากจะเข้าชม ที่นี้จะมีค่าเช้าชม 1,500 เยนสำหรับผู้ใหญ่และ 800 เยนสำหรับเด็กประถมลงไป (ทารกไม่มีค่าใช้จ่าย)
5. ปราสาทวากายามะ
ปราสาทวากายามะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อีกที่หนึ่งที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองวากายามะ และเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง โดยปราสาทนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1585 มีทั้งหมด 3 ชั้น ในอดีตเคยเปลี่ยนผ่านเจ้าของมาหลายมือ รวมถึงตระกูล Tokugawa ซึ่งเป็นตระกูลโชกุนแรกหลังจากสิ้นสุดยุคสงครามกลางเมือง
ปราสาทนี้ถูกทำลายไปครั้งหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้นปราสาทวาคายาม่าที่เราเห็นในปัจจุบันจึงเป็นปราสาทที่ผ่านการบูรณะมาแล้วนั่นเอง ตัวอาคารเป็นคอนกรีตสมัยใหม่และภายในปราสาทจะมีโวนพิพิธภัณท์ มีการจัดแสดงวัตถุโบราณที่เหลือรอดมาจากการการถูกเผาในช่วงสงครามโลก และหากเดินขึ้นมาที่ชั้นบนสุดของปราสาท คุณจะได้ชมวิวเมืองวากายามะผ่านทางกล้องส่องทางไกลได้อีกด้วย
ปราสาทวาคายาม่าตั้งอยู่ในพื้นที่ๆเปรียบเสมือนหนึ่งในสวนสาธารณะของเมืองที่เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้มาพักผ่อนหย่อนใจ ท่ามกลางสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นโบราณและสวนหย่อมญี่ปุ่นที่จะสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีและช่วงชมซากุระ ซึ่งโดยรอบปราสาทจะมีต้นซากุระปลูกไว้มากถึง 600 ต้น จนทำให้เป็นจุดชมซากุระที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง