All About Japan

ที่สุดแห่งจุดชมดอกไม้ในฮอกไกโด

สวนสาธารณะ เกาะ แผนการการเดินทาง ทัวร์ สวยงาม ดอกไม้ งานอีเวนท์ ข้อมูล ชนบทญี่ปุ่น Sapporo Hokkaido

ไม่ใช่แค่ลาเวนเดอร์ เรามีสวนหลายชนิดพร้อมฉากหลังสุดปัง (เช่นภูเขาหิมะหรือเมืองซัปโปโรทั้งเมืองเป็นฉากหลัง) ไปชมดอกไม้ที่ดินแดนเหนือสุดอันแสนมีเสน่ห์ของญี่ปุ่นอย่างฮอกไกโดกันเถอะ

1.ทุ่งลาเวนเดอร์สุดฮอตแห่ง Furano ที่ฟาร์ม Tomita

1.ทุ่งลาเวนเดอร์สุดฮอตแห่ง Furano ที่ฟาร์ม Tomita

https://pixta.jp/

ถ้าพูดถึงฮอกไกโด ก็ต้องนึกถึงทุ่งลาเวนเดอร์ และถ้าพูดถึงทุ่งลาเวนเดอร์ที่ฮอกไกโด ก็ต้องนึกถึง ”ฟาร์ม Tomita" เนื่องจากภูมิทัศน์ของทุ่งลาเวนเดอร์แห่งนี้มีฉากหลังเป็นภูเขา Tokachi ที่มีความพอเหมาะพอดีกับเนินเขาลาเวนเดอร์และดอกไม้หลากสีที่อยู่เบื้องหน้า จึงไม่แปลกใจเลยกับคำขนานนามที่ว่า เป็นจุดชมดอกลาเวนเดอร์ที่ดีที่สุดของเมือง ช่วงที่ดอกลาเวนเดอร์บานสะพรั่งเต็มที่ คือช่วงกลางเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคม ส่วนดอกไม้อื่นๆของที่นี่ เช่น ดอกป๊อปปี้และดอกลูปินจะบานในเดือนมิถุนายน,ดอกลิลลี่ จะบานในเดือนกรกฎาคม,ดอกทานตะวันและดอกคอสมอส จะบานในเดือนสิงหาคมถึงกันยายน นอกจากนั้น ภายในฟาร์มก็มีร้านขายของที่ระลึกและขนมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันหอมลาเวนเดอร์และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากดอกไม้,ซอฟท์ครีม, พุดดิ้ง,ชูครีมรสลาเวนเดอร์ให้ได้ลิ้มลองกันด้วยจ้า และสุดท้าย หากมีโอกาสเราอยากแนะนำให้คุณนั่งรถไฟ Furano-Biei Norokko จากเมือง Biei ไปที่เมือง Furano ซึ่งจะวิ่งผ่านวิวฟาร์มลาเวนเดอร์แห่งนี้ด้วย

เวลาทำการ :
เปิดตลอด 24 ชั่วโมง (ร้านค้าใกล้เคียงเปิด 8:30-17:30)

วันหยุด:
31 ธันวาคม - 1 มกราคม,ร้านอาหาร หยุดทุกวันพุธ ช่วงพฤศจิกายน - มีนาคม

ค่าเข้าชม:
ฟรี

วิธีเดินทาง:
(ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนตุลาคม) นั่งรถไฟสาย JR Furano หรือรถไฟ Furano-Biei Norokko ลงที่สถานี Lavender Batake เดิน 15 นาที หรือ ลงที่สถานี Furano เดิน 30 นาที หรือจะนั่งแท็กซี่มาจากสถานีรถไฟก็ใช้เวลา 12 นาที หรือ เดินทางโดยรถบัสชมวิว Twinkel Bus Furano "Lavender Course" ซึ่งเดินทางจาก Asahikawa ถึง Furano (ใช้เวลาประมาณ 3.5 ชั่วโมง ค่ารถ 1,500 เยน) ลงที่ Farm Tomita

2. สวน Horomitoge Lavender ทุ่งลาเวนเดอร์พร้อมวิวเมืองซัปโปโร

2. สวน Horomitoge Lavender ทุ่งลาเวนเดอร์พร้อมวิวเมืองซัปโปโร

https://pixta.jp

แม้เมืองFuranoจะขึ้นชื่อลือชาเรื่องของดอกลาเวนเดอร์ แต่จริงๆแล้วต้นกำเนิดของลาเวนเดอร์ในญี่ปุ่นนั้นกลับอยู่ที่เมืองซัปโปโรนี่เอง โดยเมื่อปี ค.ศ. 1937 คุณ Soda Masaharu แห่งบริษัทน้ำหอม Soda ได้นำเข้าเมล็ดลาเวนเดอร์จากฝรั่งเศส เพื่อไปทดลองปลูกและพบว่าทางตอนใต้ของเมืองซัปโปโรนั้นมีการเจริญงอกงามที่ดี จากนั้นจึงได้เริ่มเพาะปลูกเพื่อการอุตสาหกรรมอย่างจริงจังในเวลาต่อมา แม้ที่เมืองFuranoจะมีความอลังการของทุ่งลาเวนเดอร์มากกว่า แต่ทุ่งลาเวนเดอร์ที่ซัปโปโรก็ไม่ได้น้อยหน้า แถมยังอยู่ใกล้ๆไม่ต้องเดินทางออกไปนอกตัวเมือง เราจึงอยากแนะนำให้มาที่สวน Horomitoge Lavender แห่งนี้

เนื่องจากทำเลของสวนแห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง ฉะนั้นในฤดูร้อน ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม – ต้นเดือนสิงหาคม เราจะได้เห็นดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสวยงามกว่า 5,000 ต้นที่บานสะพรั่งบนเนินเขาแห่งนี้พร้อมมีฉากล้อมรอบเป็นวิวเมืองซัปโปโรด้วย ส่วนตอนกลางคืนก็มักจะมีหนุ่มสาวขับรถขึ้นเขากันมาเพื่อชมวิวเมืองในยามค่ำคืนที่ด้วย ที่นี่ได้กลายเป็นอีกแห่งหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของทิวทัศน์ในหน้าร้อนของฮอกไกโด หลังจากชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วงกันเต็มอิ่มแล้วก็ลองแวะไปดูของฝากเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นโปสการ์ด,น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ หรือจะซื้อช่อลาเวนเดอร์กลับบ้านก็ได้

เวลาทำการ :
เปิดให้เข้าชมช่วงเดือนเมษายนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 10:00-17:00 และ 18:00-01:30

วันหยุด:
เดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม

ค่าเข้าชม:
ช่วงกลางวัน 300 เยน ช่วงกลางคืน 500 เยน

วิธีเดินทาง: ขึ้นรถไฟจากสถานีซับโปโร ไปลงที่สถานีOdori จากนั้นให้ขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Subway Tozai ไปลงที่สถานี Maruyamakoen แล้วนั่งรถแท็กซี่ต่อไปยังสวน Horomitoge Lavender ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที หรือ นั่งรถบัส Bankei Bus จากสถานีซับโปโร ลงที่สถานี Horomitoge-iriguchi เดินเข้าไปในสวนอีกประมาณ 30 นาที

3.สวนดอกไม้ Shikisai no oka แห่งเมือง Biei

3.สวนดอกไม้ Shikisai no oka แห่งเมือง Biei

https://pixta.jp

ที่นี่เป็นสวนดอกไม้ที่กว้างใหญ่ในวิวพาโนราม่า มีการปลูกดอกไม้นานาพันธุ์ถึง 30 ชนิด ตั้งแต่ ดอกลาเวนเดอร์, ดอกดาวกระจาย, ดอกลูพิน, ดอกทานตะวัน, ดอกทิวลิป เป็นต้น ซึ่งจะมีการผลัดเปลี่ยนชนิดไปตามแต่ละฤดู เราสามารถเข้าชมความงามของทุ่งดอกไม้ที่ปกคลุมไปทั่วเนินเขาแห่งนี้ได้ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูใบไม้ร่วงของทุกๆปี ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนจนถึงปลายเดือนตุลาคม

นอกจากการเดินชมแล้ว ที่นี่ยังมีรถแทร็คเตอร์ขนาดเล็กที่เรียกว่า Norokko ที่จะพ่วงท้ายพาคุณได้นั่งรถชมทุ่งสบายๆในวันอากาศดีๆ หรือเราสามารถนั่งรถเล็กสำหรับวิ่งบนหิมะในฤดูหนาวได้ด้วย และถ้าใครได้ไปที่นี่ก็อย่าลืมเซลฟี่กับเจ้าตุ๊กตาหุ่นกองฟางขนาดใหญ่ สัญลักษณ์สำคัญของที่นี่ด้วย

ช่วงเวลาแนะนำสำหรับชมดอกไม้: ปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนสิงหาคมนอกจากทุ่งดอกไม้แล้ว ที่นี่ยังมี farm shop ที่เอาไว้ขายผลิตภัณฑ์ของสวน อย่างไอติมซอฟท์ครีม, คร๊อกเก้ที่ทำจากเมลอนและมันฝรั่งท้องถิ่น, หน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น เรียกได้ว่า อิ่มทั้งอาหารตา แล้วก็สามารถมาอิ่มกับอาหารเข้าท้องได้ต่อเลย และสุดท้ายก็ยังสามารถมาเล่นกับเจ้าอัลปากาก่อนกลับได้ด้วย

เวลาทำการ :
8:30 - 18:00(แตกต่างตามฤดูกาล)

วันหยุด:
31 ธันวาคม - 1 มกราคม,ร้านอาหาร หยุดทุกวันพุธ ช่วงพฤศจิกายน - มีนาคม

ค่าเข้าชม:
ฟรี (แต่จะมีการตั้งกล่องรับบริจาคเพื่อใช้เป็นค่าบำรุง) ค่าบริการนั่งรถ Norokko ผู้ใหญ่ 500 เยน เด็ก 300 เยน

วิธีเดินทาง:
นั่งรถไฟสาย JR Furano ลงที่สถานี Bibaushi เดิน 20 นาที หรือ ลงที่สถานี Furano เดิน 30 นาที หรือนั่งแท็กซี่มาจากสถานีก็ได้ ใช้เวลา 10 นาที

4. Takinoue สวนสีชมพูของดอกชิบะซากุระ ที่เมือง Monbetsu

4. Takinoue สวนสีชมพูของดอกชิบะซากุระ ที่เมือง Monbetsu

https://pixta.jp

ใครไปดูทุ่งดอกไม้สีม่วงมาเยอะแล้วอยากเปลี่ยนบรรยากาศมาดูพรมดอกไม้สีชมพูบ้าง เราก็ขอแนะนำให้มาดูภูเขาดอกชิบะซากุระ (Shibazakura) หรือที่คนทั่วไปรู้จักในชื่อ พิงค์มอส ที่สวน Takinoue แห่งนี้ ที่เรียกได้ว่าถ้าดอกชิบะซากุระบานเต็มที่ทั้งเนินเขาในช่วงฤดูใบไม้ผลิปลายเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนมิถุนายนแล้ว เราก็เหมือนจะได้เข้าไปวิ่งเล่นในเทพนิยายภายใต้พรมสีชมพูเลยทีเดียว

สวนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมือง Monbetsu ที่อยู่ทางแถบตะวันออกเฉียงเหนือของฮอกไกโด เนื่องจากผู้คนในเมืองนี้ต้องการสร้างเมืองให้เป็นเมืองที่มีความงดงามเรียบง่าย ให้คล้ายกับเป็นฉากฉากหนึ่งในเทพนิยาย สวนแห่งนี้เริ่มปลูกดอกชิบะซากุระ มาตั้งแต่ปีคศ. 1956 และปลูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเต็มพื้นที่ 100,000 ตร.ม. นอกจากการเดินเล่น,วิ่งเล่นในสวนชิบะซากุระแล้ว ที่บริเวณใกล้ๆกันยังมีบริการนั่งเฮลิคอปเตอร์เพื่อชมวิวจากมุมบนรอบๆสวนอีกด้วย ใครจะถือโอกาสขอแฟนแต่งงานในบรรยากาศแบบนี้ก็น่าจะดีไม่น้อยนะคะ

เวลาทำการ :
เฉพาะช่วงที่ดอกชิบะซากุระออกดอกเท่านั้น (ปลายเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนมิถุนายน)

ค่าเข้าชม:
ผู้ใหญ่ 500 เยน เด็ก 250 เยน

วิธีเดินทาง:
แนะนำเช่ารถขับ หรือนั่งรถบัสสาย Hokkaido Chuo, Dohoku จากซับโปโร และรถบัสสาย Hokumon ซึ่งเป็นรถบัสท้องถิ่น มาลงที่ Takinoue แล้วนั่งแท็กซี่ต่อประมาณ 2 กม.

5.ทุ่งสีเหลืองทองอร่ามของดอก Nanohana ที่เมือง Takikawa

5.ทุ่งสีเหลืองทองอร่ามของดอก Nanohana ที่เมือง Takikawa

https://pixta.jp

นอกจากเนินเขาสีม่วงและสีชมพูแล้ว ที่ฮอกไกโด เมือง Takikawa ก็ยังมีเนินเขาสีเหลืองทองอร่ามจากดอก Nanohana หรือ ดอกเรพซีด ที่จะบานสะพรั่งในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายนด้วย ดอก Nanohana เป็นผักหรือดอกไม้พื้นเมืองของญี่ปุ่น ลำต้นไม่สูงมาก มักนำส่วนยอดมาทำเป็นอาหารและทำเป็นน้ำมันประกอบอาหาร ที่เมือง Takikawa ถือเป็นจุดที่มีการปลูกดอก Nanohana มากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น นอกจากสารอาหารที่ล้นเหลือแล้ว ดอกสีเหลืองของมันก็ยังเป็นภาพที่สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวได้มากมาย ด้วย และในทุกๆปีจะมีการจัดงานเทศกาลดอก Nanohana "Takikawa Nanohana Festival" ที่บริเวณทุ่งดอก Nanohana และในงานก็จะมีจุดถ่ายรูปจากสะพานสูง, มีการออกบูทร้านอาหารที่ทำจากดอก Nanohana และประกวดถ่ายภาพ เป็นต้น

เวลาทำการ :
10:00-16:00 เฉพาะช่วงที่มี Takikawa Nanohana Festival (ประมาณปลายเดือนปลายเดือนพฤษภาคม) แต่สามารถจอดถ่ายรูปได้ตามบริเวณด้านนอกของทุ่งดอกไม้ของเกษตรกร

ค่าเข้าชม:
ฟรี

วิธีเดินทาง:
ขึ้นรถไฟ JR Hakodate Main Line ที่สถานี Sapporo ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที ไปลงที่สถานี JR Takikawa แล้วต่อแท็กซี่ประมาณ 20 นาทีไปที่ทุ่งดอก Nanohana

ผู้เขียน: Suphatthra
เป็นคนที่รักการเขียน รักการอ่าน รักการออกไปดูโลกกว้าง เฮฮา บ้าบอ ขาลุย และรักญี่ปุ่น

know-before-you-go