พาไปเดินคินคะคุจิ ครั้งหนึ่งในชีวิตที่วัดทอง!!
วันคินคะคุ (วัดทอง)
วัดคินคะคุหรือคินคะคุจิ หรือที่คนไทยทุกคนรู้จักกันในนามว่าวัดทอง เป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนานของเมืองเกียวโตแห่งนี้ครับ วัดทองสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1397 เกินหกร้อยปีมาแล้ว เพื่อเป็นที่พักของท่านโชกุน อะชิกะงะ โยชิมิสึ ซึ่งถ้าใครสงสัยว่าโชกุนคนนี้เป็นใคร ก็ขอให้นึกถึงท่านโชกุนเจ้าปัญหา ที่มักจะหาปัญหามาให้เณรน้อยเจ้าปัญญาอย่างอิ๊กคิวซัง มาคอยแก้ปัญหาให้นั่นเองครับ วัดนี้มีความโดดเด่นอยู่ที่ศาลาทองกลางน้ำ ซึ่งมีความงดงามเป็นอย่างมากครับ ด้วยความที่เป็นเอกลักษณ์และสะดุดตาสุดๆ แบบนี้ จึงทำให้วัดแห่งนี้เป็นหนึ่งในวัดแห่งเมืองเกียวโตที่ใครๆก็ อยากจะมาเยือนให้ได้ซักครั้งหนึ่ง
การเดินทาง
หากคุณมาเที่ยวที่เกียวโตล่ะก็ การเดินทางที่สะดวกที่สุดคงจะหนีไม่พ้นการนั่งรถบัสครับ ที่เกียวโตแห่งนี้ต่างกับเมืองใหญ่อื่นๆในญี่ปุ่น ตรงที่รถบัสจะเป็นการคมนาคมที่เป็นที่นิยมมากกว่ารถไฟครับ ดังนั้นสถานที่ชื่อดังส่วนใหญ่ของเกียวโตจะอยู่ใกล้กับสถานีบัสมากกว่าสถานีรถไฟครับ ทำให้การเดินทางด้วยบัสที่เมืองแห่งนี้เป็นที่นิยม และการหาเส้นทางรถบัสก็เป็นความสนุกอย่างนึงของคนมาเที่ยวครับ
โดยสายรถบัสที่ผ่านมาลงที่วัดคินคะคุจิแห่งนี้ มีทั้งหมด 6 สายด้วยกันครับ คือ สาย 12, 59, 101, 102, 204 และ 205 ครับ โดยหากคุณเดินทางจากสถานีเกียวโตแล้วล่ะก็ รถบัสที่เป็นสายตรงมาที่วัดคินคะคุจิโดยไม่ต้องเปลี่ยนเลยนั้นจะเป็นสาย 101 และ 205 ครับ
เมื่อเดินลงมาจากบัสแล้วเดินตามผู้คนมา ก็จะเป็นทางเข้าตามรูปที่เห็นนี้ครับ ซึ่งผมขอออกตัวก่อนว่าภาพที่ทุกคนเห็นนี้เป็นภาพที่ถ่ายในเดือนสิงหาคมนะครับ หรือก็คือยังเป็นหน้าร้อนอยู่ ถ้าหากว่ามาในหน้าหนาว พื้นที่แห่งนี้อาจจะปกคลุมไปด้วยหิมะก็ได้เช่นเดียวกันครับ ตัวผู้เขียนเองก็เคยมาตอนหน้าหนาวครั้งหนึ่งครับ แต่ถ่ายรูปไม่ไหวจริงๆ เพราะหิมะตกหนา และคนที่มาเที่ยวเยอะมาก กับเวลาที่มีเพียงน้อยนิดในตอนนั้น ทำให้ไม่สามารถเก็บภาพศาลาทองกลางน้ำที่พื้นหลังเป็นสีขาวโพลนมาให้ได้จริงๆครับ
เมื่อมาถึงหินที่เห็นดังรูปก็ขอให้รู้ได้เลยว่าตอนนี้เรากำลังเข้าสู่บริเวณวัดแล้วนะครับ
ซึ่งนี่ก็คือประตูทางเข้าวัดนั่นเองครับ โดยค่าเข้าชมของวัดทองแห่งนี้ สำหรับผู้ใหญ่ราคา 400 เยน และเด็กอายุไม่เกิน 12ปี ราคา 300เยนครับ เวลาเปิดทำการตั้งแต่ 9:00-17:00 ของทุกวันครับ
เมื่อเดินเข้ามาแล้วมองไปทางขวาจะเป็นที่ตั้งของตัววัดอย่างที่เห็นในรูป
หากมองไปข้างหน้าจะเห็นศาลาสีทองตั้งอยู่กลางสระ ซึ่งในการเดินชมวัดแห่งนี้เราจะเดินเลาะริมสระประมานครึ่งหนึ่งครับ เพื่อที่เราจะสามารถเก็บความงามของศาลาทองอันเป็นเอกลักษณ์ของวัดแห่งนี้ให้ได้จากหลายๆมุม แล้วจากนั้นก็จะเดินไปสู่ทางออกด้านหลังครับ
เมื่อเดินจนสุดขอบสระแล้ววกขึ้นไปยังทางออก จะผ่านน้ำตกเล็กๆ อย่างที่เห็นในภาพด้วยครับ ตอนเดินผ่านในช่วงหน้าร้อน เสียงน้ำเย็นๆที่ไหลลงมา ทำให้รู้สึกสดชื่นและหายร้อนเลยนะครับ
และนี่จะเป็นมุมที่มองเห็นศาลาทองเป็นจุดสุดท้ายก่อนถึงทางออก ซึ่งจะตรงไปสู่ร้านขายของที่ระลึกครับ
เดินมาถึงตรงนี้แล้วก็จะถือว่าเป็นการสิ้นสุดการเยี่ยมชมวัดทองแห่งนี้
สำหรับใครที่ยังไม่เคยไปที่วัดแห่งนี้ หากมีโอกาสซักครั้งที่จะได้ไปเที่ยวเกียวโต เราก็อยากจะให้คุณผู้อ่านทุกท่านได้ไปรับชมบรรยากาศแสนสวยของวัดแห่งนี้ซักครั้งด้วยตัวเองครับ ซึ่งทางผู้เขียนก็อยากจะแนะนำนิดหน่อยนะครับ ว่าที่วัดแห่งนี้ หากมาในหน้าหนาว จะได้บรรยากาศความงดงามคนละแบบกับภาพถ่ายที่เห็นเลยทีเดียว เนื่องจากภาพหิมะที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้น สามารถเพิ่มความมีมนต์ขลังให้กับวัดแห่งนี้ ทำให้เกิดบรรยากาศแบบเหงาๆ แต่งดงามจับใจ ซึ่งจะเป็นบรรยากาศคนละแบบกับในหน้าร้อน ที่ดูโดดเด่นเป็นสง่าสมเป็นที่พักของโชกุนครับ