เคล็ดลับ 6 อย่างในการช็อปปิ้งที่ญี่ปุ่น
1. ไปแต่เช้า
ร้านค้าส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นเปิดทำการในช่วง 10.00-11.00น. แต่ในความเป็นจริงแล้วร้านค้าหรือย่านการค้าที่มีชื่อเสียงส่วนมาก มักจะมีลูกค้ามาเข้าคิวยาวเหยียดตั้งแต่เช้าตรู่เลยทีเดียว อาทิเช่น ตลาดปลาสึคิจิ เรียกได้ว่าใครมาก่อนได้ก่อน ถ้าใครไม่อยากเสียเวลาช็อปปิ้งที่เหลือไปกับการเข้าแถวนานๆ ขอแนะนำให้ไปเข้าคิวแต่เช้าเลยจ้า
2. อย่ากลัวที่จะถาม
ในญี่ปุ่นร้านค้าส่วนใหญ่อยากให้ลูกค้าผ่อนคลายในเวลาเดินเลือกซื้อของ พนักงานจึงไม่ค่อยเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเราเท่าไรหากเราไม่เป็นฝ่ายเรียกเอง ถ้ามีปัญหาหรือสงสัยเกี่ยวกับสินค้าอย่ากลัวที่จะถาม เพราะเขายินดีและเต็มใจที่จะช่วยเราเสมอ
นอกจากศูนย์การค้าใหญ่ๆในโตเกียวแล้ว อย่าคาดหวังว่าร้านค้าทั่วไปจะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ อย่างไรก็ตาม เราสามารถใช้ภาษาท่าทาง หรือแอพแปลภาษาเพื่อใช้ในการสื่อสารกับพนักงานได้
3. ไซส์ไม่เท่ากันนะ
เสื้อผ้าหรือรองเท้าบางร้านในญี่ปุ่นอาจจะไซส์แตกต่างกับที่ไทย อย่ากลัวที่จะขอพนักงานเพื่อลองเสื้อผ้าหรือขอรองเท้าเบอร์ที่ใหญ่ขึ้น
4. ต่อราคา
ประเทศญี่ปุ่นไม่มีวัฒนธรรมในการต่อราคา อย่างไรก็ตามที่ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือตลาดนัดบางแห่งอาจจะสามารถต่อราคาได้นิดหน่อย แต่โดยทั่วไปแล้ว ราคาที่ป้ายมักจะเป็นราคาจริง
5. สินค้าที่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์
สินค้าบางชนิด อาทิเช่นคอนแทคเลนส์ รวมถึงสินค้าตามร้านขายยาต่างๆนั้นไม่สามารถซื้อได้หากไม่มีใบรับรองจากแพทย์
6. ส่งของกลับประเทศ
เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยเจอปัญหาซื้อของมามากเกินไปแล้วแบกกลับไปไม่ไหว อยากจะใช้บริการส่งสินค้าข้ามประเทศ บริการส่งไปโรงแรมหรือสนามบิน ก็มีเพียงทร้านในห้างสรรพสินค้าบางร้านเท่านั้นที่มี ดังนั้นขอให้คิดอยู่เสมอว่าคุณจะต้องแบกของฝากทั้งหมดกลับไปด้วยตัวเอง ยังไงอย่าลืมคำนวณน้ำหนักไม่ให้เกินที่สามารถแบกกลับไปได้ด้วยล่ะ ไม่งั้นอาจต้องเสียเพิ่มอ่วมเลย
Extra: เพลงปิดร้าน
เพลง “Hotaru no Hikari” หรือที่แปลว่า "แสงหิ่งห้อย" เป็นเพลงญี่ปุ่นที่แปลงมาจากเพลง “Auld Lang Syne” ซึ่งทำนองของเพลงนี้ เราคนไทยมักจะรู้จักกันดีในชื่อ "สามัคคีชุมนุม" ร้านค้าในประเทศญี่ปุ่นจะเปิดเพลงนี้ในช่วงประมาณ 10 นาทีสุดท้ายก่อนปิดร้าน ดังนั้นหากได้ยินเพลงนี้ตอนกำลังช็อปอยู่ละก็ เป็นสัญญาณว่าควรรีบไปจ่ายเงินนั่นเอง!
อ่านบทความเต็ม: japanshopping.org (อังกฤษ)