เปิดโลกรวม 5 สถานที่ "สุดหลอน" ในญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นนอกจากสถานที่ที่สวยงามอยู่มากมาย ในอีกมุมหนึ่งก็ยังมีสถานที่สุดหลอนที่มีอดีตอันน่าเศร้า หรือแฝงไว้ด้วยความลี้ลับที่อธิบายไม่ได้ และบางแห่งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั่วไปก็สามารถเดินทางไปสัมผัสได้ ครั้งนี้เราจึงเอาใจคนที่ชอบเรื่องลี้ลับ หรืออยากลองเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์แปลกๆ ในญี่ปุ่น ผ่าน 5 สถานที่สุดหลอนต่อไปนี้
1. อุโมงค์อินุคาเนะ จ.ฟุกุโอกะ (Inukane Pass, Fukuoka)
อุโมงค์อินุคาเนะ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า อุโมงค์ชูเซ็ตสึ (Chusetsu Tunnel) เป็นอุโมงค์เก่าในจังหวัดฟุกุโอกะที่มีความกว้างขนาดรถยนต์หนึ่งคันวิ่งลอดไปได้ แต่ในปัจจุบันได้ถูกเลิกใช้งานไปแล้ว และกลายเป็นหนึ่งในจุดที่ว่ากันว่ามีวิญญาณอยู่ และมีผู้คนมาลองของกันเป็นจำนวนมาก
โดยส่วนใหญ่ได้ข้อสรุปว่าทุกครั้งที่พยายามเดินเข้าไปในอุโมงค์แห่งนี้ จะได้ยินเสียงกระซิบปริศนาดังแว่วเข้ามาในหูซึ่งบอกให้หยุด และบางครั้งก็สัมผัสได้ถึงแรงผลักลึกลับที่พยายามผลักไม่ให้เดินลึกเข้าไปในอุโมงค์มากกว่านี้ โดยสภาพของอุโมงค์ในปัจจุบันมีการนำแท่งคอนกรีตยาวมาวางขวางทางเข้าอุโมงค์เอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครเข้าไปข้างใน
โดยตำนานของอุโมงค์แห่งนี้มีอยู่สองเรื่องเล่าด้วยกัน เรื่องแลกว่ากันว่าเคยมีหญิงสาวคนนึ่งถูกฆาตกรรมอย่างโหดร้ายทารุณภายในอุโมงค์แห่งนี้ และยังไม่สามารถจับฆาตกรได้จนถึงปัจจุบัน และอีกเรื่องเล่าหนึ่งบอกว่าเคยมีหญิงสาวเชื้อสายเกาหลีอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ช่วงก่อนสงคราม แต่หญิงสาวคนนี้ได้ถูกฆ่าอย่างโหดร้ายที่อุโมงค์ในช่วงที่ญี่ปุ่นและเกาหลีเริ่มเป็นปรปักษ์ต่อกัน
2. ป่าอาโอกิงาฮาระ จ.ยามานาชิ (Aokigahara, Yamanashi)
ป่าอาโอกิงาฮาระ เป็นพื้นที่ป่าในบริเวณทะเลสาบทั้ง 5 รอบภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ในจังหวัดยามานาชิ แต่ป่าแห่งนี้กลับได้รับการขนานนามว่า “ป่าแห่งความตาย” เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาฆ่าตัวตาย โดยมีการบันทึกสถิติไว้ตั้งแต่ปี 1950 ว่ามีผู้มาฆ่าตัวตายที่ป่าแห่งนี้ถึง 500 คน
และป่าแห่งนี้ก็ยังกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเมื่อมียูทูบเบอร์ชาวต่างชาติคนหนึ่งเดินทางมาถ่ายคลิปความหลอนภายในป่าแห่งนี้ และได้เจอศพคนที่มาฆ่าตัวตายจริงๆ และยังมีละคร รวมถึงภาพยนตร์หลายเรื่องที่ใช้ฉากเป็นป่าแห่งนี้ หรือมีการเล่าถึงความหลอนของป่าแห่งนี้
แต่ปัจจุบัน ด้วยความพยายามจากหลายๆ ด้าน ทำให้การฆ่าตัวตายที่ป่าแห่งนี้ลดจำนวนลงอย่างมาก และพื้นที่ป่าอาโอกิงาฮาระได้กลายเป็นพื้นที่สำหรับเดินป่าสำรวจธรรมชาติสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป แต่สำหรับใครที่พอจะรู้ประวัติความเป็นมาของป่าแห่งนี้มาก่อน ก็อาจจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศลี้ลับที่ยังคงปกคลุมภายในป่าแห่งนี้อยู่บ้าง
3. เกาะฮาชิมะ จ.นางาซากิ (Hashima Island, Nagasaki)
เกาะฮาชิมะอาจเรียกได้ว่าเป็นสถานที่สุดหลอนในประเทศญี่ปุ่นที่หลายคนเคยได้ยินชื่อและอาจจะเคยผ่านตากันมาบ้าง เพราะเกาะแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นสถานที่ในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ไทยอย่าง “ฮาชิมะ โปรเจกต์ ไม่เชื่อ ต้องลบหลู่” ไปจนถึงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดชื่อดังอย่างเจมส์ บอนด์ ภาค Skyfall
โดยในอดีตนั้นบริษัทมิตซูบิชิได้เข้ามาซื้อเกาะแห่งนี้เพื่อทำเป็นเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ และมีผู้อยู่อาศัยมากถึง 5,000 คน จนกระทั่งเมื่อการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมเปลี่ยนมาเป็นการใช้น้ำมันเป็นหลัก เหมืองถ่านหินบนเกาะแห่งนี้ก็ได้ปิดตัวลง และเกาะก็ถูกทิ้งร้างนับตั้งแต่นั้นมา และได้ถูกใช้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษชาวจีนและเกาหลีใต้เป็นระยะเวลาสั้นๆ ระหว่างสงคราม
ด้วยบรรยากาศของเมืองร้างที่เต็มไปด้วยอาคารเก่าโทรม และร่องรอยการใช้ชีวิตในอดีต ทำให้เกาะแห่งนี้มีบรรยากาศสุดหลอน ผสมกับเรื่องเล่าปากต่อปากของทั้งทีมงานกองถ่ายและผู้ที่เคยเดินทางไปเยือนแห่งนี้ว่าเจอกับเหตุการณ์แปลกๆ ต่างๆ นานา ทำให้เกาะฮาชิมะยังคงกลายเป็นสถานที่ที่ได้รับการขนานนามว่ามีความลี้ลับมากที่สุดในญี่ปุ่น
ปัจจุบันเกาะฮาชิมะเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนได้ในจำนวนที่จำกัด และต้องซื้อทัวร์ไปเท่านั้นเพื่อความปลอดภัย หรือจะเลือกเดินทางไปเยือนพิพิธภัณฑ์ดิจิตอล Gunkanjima Digital Museum พิพิธภัณฑ์สุดล้ำสมัยที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของเกาะแห่งนี้ และจำลองบรรยากาศในรูปแบบดิจิตอลอย่างเสมือนจริงแทนก็ได้
4. เกาะโอคุโนะชิมะ จ.ฮิโรชิม่า (Okunoshima Island, Hiroshima)
เกาะโอคุโนะชิมะ เป็นเกาะที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวในปัจจุบันในฐานะ “เกาะกระต่าย” เนื่องจากบนเกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยกระต่ายที่ใช้ชีวิตอยู่ตามธรรมชาติเป็นจำนวนมากกว่าหนึ่งพันตัว และมีเรือข้ามฟากคอยให้บริการอย่างสะดวกสบาย
แต่อดีตของเกาะแห่งนี้กลับขัดแย้งกับภาพน่ารักๆ ในปัจจุบัน เนื่องจากเกาะโอคุโนะชิมะเคยถูกใช้เป็นฐานในการวิจัยอาวุธเคมีลับของกองทัพญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างปี ค.ศ. 1929-1945 โดยไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการทดลองสารพิษต่างๆ ที่จะนำไปใช้ในการทำสงครามกับสิ่งมีชีวิตประเภทใดบ้าง โดยการดำเนินการทุกอย่าง แม้กระทั่งที่ตั้งของเกาะแห่งนี้ยังถูกลบออกจากแผนที่ และปิดเป็นความลับทั้งหมด และยังว่ากันว่ากระต่ายที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติบนเกาะแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในสัตว์ทดลองที่ยังคงมีชีวิตรอดหลังจากที่กองทัพญี่ปุ่นยุติการทดลองบนเกาะแห่งนี้
โดยในปัจจุบันยังคงมีซากอาคารเก่าที่มีบรรยากาศสุดหลอนตั้งอยู่บนเกาะ และยังมีการเปิดพิพิธภัณฑ์แก๊สพิษ “Okunoshima Island Poison Gas Museum” เพื่อบอกเล่าเรื่องราวในสมัยที่มีการทดลองอาวุธเคมีบนเกาะแห่งนี้อีกด้วย
5. หน้าผาหินโทจินโบ จ.ฟุคุอิ (Tojinbo, Fukui)
หน้าผาหินโทจินโบ เป็นหน้าผาหินที่เกิดจากการกัดเซาะของคลื่นลมจนมีลักษณะที่สวยงามแปลกตาและถือเป็นสภาพทางธรณีวิทยาที่พบเห็นได้ยาก จนกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดฟุคุอิ โดยหน้าผาส่วนที่สูงที่สุดมีความสูงถึง 25 เมตร
และหากดูเผินๆ ก็เป็นเหมือนกับสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติทั่วไป แต่เรื่องราวที่ซ่อนอยู่หลังความสวยงามของสถานที่แห่งนี้มีทั้งตำนานที่เล่าว่าชื่อ “โทจินโบ” ของหน้าผาแห่งนี้มาจากพระรูปหนึ่งที่มีนิสัยไม่ดี สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน จนถูกจับมาโยนลงจากหน้าผาที่นี่ และดวงวิญญาณของพระรูปนี้ยังคงปรากฏตัวออกมาหลอกหลอนผู้คนในบางค่ำคืน
รวมทั้งที่นี่ยังเป็นจุดที่มีผู้คนเดินทางมาฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมากไม่แพ้กับป่าอาโอกิงาฮาระ ซึ่งเครื่องยืนยันก็คือการมีตู้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือตั้งอยู่บริเวณหน้าผา
โดยภายในตู้จะมีเหรียญ 10 เยนวางเอาไว้เพื่อให้คนที่คิดจะฆ่าตัวตายได้โทรหาใครสักคน และภายในตู้โทรศัพท์ยังมีข้อความให้กำลังใจอยู่มากมาย และยังมีความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ เช่น เกม Pokemon Go ได้ใช้พื้นที่หน้าผาแห่งนี้เป็นจุดจับโปเกม่อนหายากจนมีผู้เล่นเดินทางมาเยือนเป็นจำนวนมาก และกลายเป็นการช่วยสอดส่องไม่ให้เกิดการฆ่าตัวตายไปในตัว ทำให้ในปัจจุบันมีการฆ่าตัวตายที่หน้าผาแห่งนี้น้อยลงอย่างมาก
ผู้เขียน: ชินพงศ์ มุ่งศิริ
เริ่มต้นทำงานเป็นช่างภาพอิสระหลังเรียนจบ เดินทางไปถ่ายภาพที่ประเทศญี่ปุ่นบ่อยครั้งจนครบทั้ง 4 ฤดูอันสวยงาม และเกือบครบทุกภูมิภาค มีผลงานภาพถ่ายตีพิมพ์ในไกด์บุ๊คระดับโลกอย่าง Lonely Planet ถึง 3 เล่ม คือ Discovery Japan, Japan และ Kyoto รวมถึงเว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำอย่าง National Geographic Traveler UK, BBC Travel, Travel+Leisure, TIME และอีกมาก
นอกจากการถ่ายทอดความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นผ่านภาพถ่าย ปัจจุบันยังหันมาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านทางตัวอักษรทั้งในฐานะนักเขียนและนักแปลควบคู่กันไปอีกด้วย