สุดยอดที่เที่ยวแนะนำสำหรับไปญี่ปุ่นเดือน 7-8
ทำไมต้องไปญี่ปุ่นช่วงหน้าร้อน?
ถ้ามีโอกาสได้ไปประเทศญี่ปุ่น เชื่อว่าหลายๆ คนคงอยากไปสัมผัสความสวยงามของดอกซากุระ ใบไม้เปลี่ยนสี หรือไปเจอหิมะเป็นครั้งแรกในชีวิตกันมากกว่า เมื่อเทียบกับฤดูร้อนที่คนไทยยังนึกไม่ค่อยออกว่ามีอะไรให้เที่ยว แถมอากาศก็ร้อนไม่ต่างจากเมืองไทย ทำให้ฤดูนี้มักจะกลายเป็นตัวเลือกอันดับท้ายๆ ในการเดินทางเสมอ
แต่หากใครที่พอจะคุ้นเคยกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น ก็คงรู้ดีว่าขนาดจังหวัดเล็กๆ หรือสินค้าธรรมดาๆ คนญี่ปุ่นก็มีวิธีสร้างจุดขายเพื่อดึงดูดความสนใจจนกลายเป็นความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อมานับไม่ถ้วน ฤดูร้อนที่ญี่ปุ่นเองก็ไม่ต่างกัน คนญี่ปุ่นเองก็รู้ตัวว่าฤดูร้อนของตัวเองนั้นไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นเท่าฤดูกาลอื่นๆ และถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของการท่องเที่ยว จึงทำให้ช่วงเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-สิงหาคมนั้นเต็มไปด้วยการจัดกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลเก่าแก่ เทศกาลดนตรี เทศกาลดอกไม้ไฟ รวมถึงกิจกรรมแบบเฉพาะทางที่ตอบโจทย์ความสนใจในแทบทุกแง่มุม จนอาจพูดได้ว่าฤดูร้อนของญี่ปุ่นนั้นเป็นช่วงเวลาที่ความสวยงามและความประทับใจเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์เป็นหลัก ตรงกันข้ามกับอีก 3 ฤดูที่เหลือซึ่งธรรมชาติรับบทบาทหลักไปทั้งหมด
ในยุคที่ใครๆ ก็ไปญี่ปุ่นได้อย่างในทุกวันนี้ เชื่อว่าใครที่เคยไปญี่ปุ่นในฤดูอื่นมาแล้ว มักจะเกิดความคิดขึ้นมาว่าต้องหาโอกาสมาเยือนประเทศญี่ปุ่นให้ครบทั้งสี่ฤดูให้ได้ เพราะแต่ละฤดูต่างก็มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง สำหรับคนที่ไม่เคยเที่ยวญี่ปุ่นมาก่อน ฤดูร้อนก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการทำความรู้จักประเทศญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี คุณสามารถจัดกระเป๋าเที่ยวเบาๆ ด้วยเป้ใบเดียวได้โดยไม่ต้องแบกอุปกรณ์กันหนาว มีโอกาสเที่ยวที่ต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนแบบช่วงไฮซีซั่น จองที่พักในราคาที่ถูกกว่าช่วงเวลาอื่นๆ เกือบเท่าตัว และอาจกลับไปพร้อมกับความประทับใจอย่างเกินความคาดหมาย
และต่อไปนี้ก็คือสถานที่ท่องเที่ยว 10 แห่งที่เราไม่อยากให้พลาดหากได้ไปเยือนประเทศญี่ปุ่นในช่วงเดือน 7-8
1. คิบุเนะ จ. เกียวโต (Kibune, Kyoto)
แม้ว่าเกียวโตจะขึ้นชื่อในเรื่องของวัดโบราณและกลิ่นอายของความเป็นเมืองเก่า แต่ก็ยังมีที่เที่ยวสำคัญในฤดูร้อนซ่อนตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า “คิบุเนะ” บนภูเขาทางตอนเหนือของเมือง โดยในช่วงฤดูหนาวนั้น บริเวณนี้ถือเป็นจุดที่มีโอกาสได้พบกับหิมะตก และยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าคิบุเนะอันสวยงามและเป็นที่รู้จักกันดีจากภาพของบันไดหินที่มีโคมไฟสีแดงตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง แต่ในฤดูร้อนนั้นก็จะได้พบกับบรรยากาศของความเขียวขจีและความร่มรื่นของพรรณไม้บนภูเขา และลำธารสายเล็กๆ ที่ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย
ไฮไลท์สำคัญของหน้าร้อนที่คิบุเนะก็คือการทานอาหารแบบ “โนเรียวยูกะ” หรือการนั่งพื้นทานอาหารกลางแจ้งแบบใช้อากาศธรรมชาติเย็นๆแทนแอร์ เช่นร้านอาหารมากมายในคิบุเนะที่ทำที่นั่งอยู่เหนือลำธาร ทำให้สามารถเพลิดเพลินไปกับการทานอาหาร การฟังเสียงสายน้ำไหล และสัมผัสแอร์ธรรมชาติจากความเย็นของแม่น้ำไปได้พร้อมๆ กัน
เมนูที่เป็นเอกลักษณ์และไม่ควรพลาดก็คือ “นากะชิ โซเม็ง” หรือโซเม็งรางไม้ไผ่ ซึ่งจะเสิร์ฟโดยการปล่อยให้เส้นโซเม็งไหลลงมาพร้อมกับสายน้ำเย็นๆจากแหล่งน้ำธรรมชาติในรางไม้ไผ่ และเราก็คอยคีบเส้นที่ไหลลงมากินคู่กับซอส เป็นเมนูที่ให้ทั้งความสนุกและความเอร็ดอร่อยระหว่างการรับประทาน
ค่าเข้าชม : ฟรี
เวลาเปิดปิด : ร้านอาหารเปิดทำการประมาณ 10.00 – 20.00 น.
การเดินทาง : สถานีรถไฟ “Kibune-guchi” หรือป้ายรถเมล์ “Kibune”
2. ดูหิ่งห้อยที่หมู่บ้านหิ่งห้อยซึกิโยโนะ จ. กุนมะ (Tsukiyono Firefly Village, Gunma)
เสน่ห์สำคัญอีกอย่างหนึ่งของหน้าร้อนในแบบญี่ปุ่นคือการได้พบกับหิ่งห้อยจำนวนมากที่เปล่งแสงระยิบระยับอย่างสวยงามในยามค่ำคืน และยังมีจุดที่สามารถชมความสวยงามของหิ่งห้อยได้ทั่วทั้งประเทศ แม้ว่าหลายแห่งจะอยู่ในหุบเขาลึกหรือพื้นที่ชนบทจนอาจจะต้องเช่ารถ แต่จุดที่เราเลือกมาแนะนำคือหมู่บ้านหิ่งห้อยซึกิโยโนะ จ. กุนมะ ซึ่งเดินทางง่าย สามารถขึ้นรถไฟชินคันเซ็นตรงมาจากโตเกียวโดยใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมง
หิ่งห้อยในญี่ปุ่นนั้นจะปรากฏตัวตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคม และจะพบได้ตั้งแต่หลังสองทุ่มเป็นต้นไป โดยหิ่งห้อยที่จะพบในหมู่บ้านแห่งนี้มีมากถึง 3 สายพันธ์คือเกนจิ, เฮกิ และคุโรมาโอะ และมีเส้นทางเดินชมหิ่งห้อยความยาว 2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมง และมีข้อบังคับสำคัญอย่างหนึ่งในการถ่ายรูปหิ่งห้อยก็คือ ห้ามใช้แฟลชในการถ่ายภาพโดยเด็ดขาด
ค่าเข้าชม : ฟรี
เวลาเปิดปิด : เปิดตลอด 24 ชั่วโมง (ช่วงเวลาที่พบหิ่งห้อยคือ 20.00 - 21.00 น.)
การเดินทาง : สถานี Jomokogen
3. เทศกาลเท็นจิน มัตสึริ จ. โอซาก้า (Tenjin Matsuri, Osaka)
เมื่อพูดถึงหน้าร้อนก็คงต้องพูดถึงเทศกาลเก่าแก่ของญี่ปุ่นด้วย โดยตลอดทั้งหน้าร้อนนั้นแทบทุกจังหวัดในญี่ปุ่นต่างก็มีเทศกาลเป็นของตัวเอง ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการออกร้านขายของ ทำกิจกรรมสนุกๆมากมาย เช่นช้อนปลาทอง เล่นเกม ยิงปืนชิงของรางวัล และการได้สวมใส่ชุดยูคาตะออกมาเดินร่วมงาน โดยหนึ่งในเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและจัดขึ้นในเมืองที่มีคนไทยไปเที่ยวเยอะเป็นอันดับต้นๆ ก็คือเทศกาลเท็นจิน มัตสึริ ที่จัดในโอซาก้า
เหตุผลที่แนะนำเทศกาลนี้นอกจากจะเพราะเป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นเพราะมีกิจกรรมทุกรูปแบบให้สัมผัส ทั้งการจัดขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่รอบเมืองทั้งทางบกและทางน้ำ การออกร้านและการจัดการแสดงรูปแบบต่างๆ และปิดท้ายด้วยการจุดดอกไม้ไฟอย่างยิ่งใหญ่อลังการริมแม่น้ำ ถือเป็นช่วงเวลาสั้นๆ 2 วันที่เมืองโอซาก้าจะเต็มไปด้วยบรรยากาศที่สนุกสนานและน่าประทับใจในแบบที่สัมผัสไม่ได้ที่อื่น
ค่าเข้าชม : ฟรี
ระยะเวลาจัดเทศกาล : 24 – 25 กรกฎาคมของทุกปี
การเดินทาง : พิธีสักการะเทพเจ้าและขบวนแห่ที่ศาลเจ้าเท็นมังกู ไปรถไฟใต้ดินสถานี Minamimorimachi
จุดชมดอกไม้ไฟริมแม่น้ำไปรถไฟใต้ดินสถานี Temmabashi
4. ทุ่งดอกไม้หลากหลายในฮอกไกโด เมืองฟุราโนะ
อีกหนึ่งเหตุผลหลักที่ดึงดูดให้ใครหลายคนตัดสินใจไปเยือนญี่ปุ่นช่วงหน้าร้อนก็คือความสวยงามของทุ่งดอกไม้นานาชนิดที่มีอยู่ทั่วญี่ปุ่น แต่ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือทุ่งดอกไม้มากมายในฮอกไกโด ซึ่งมีทั้งดอกลาเวนเดอร์ ทิวลิป ลิลลี่ แมกโนเลีย ซึ่งปลูกเรียงรายอยู่บนพื้นที่เนินเขาที่ลดหล่นเป็นแนวอย่างสวยงาม โดยพื้นที่ที่มีการปลูกดอกไม้กันมากที่สุดและมีคนไปเยี่ยมชมล้นหลามก็คือเมืองฟุราโนะ หนึ่งในนั้นก็มีฟาร์มโทมิตะ เป็นทุ่งดอกไม้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองนี้ ซึ่งมีจุดเด่นจากทั้งทุ่งลาเวนเดอร์และทุ่งดอกไม้เจ็ดสี
หากไม่เจาะจงไปดูดอกไม้ชนิดใดเป็นพิเศษ บรรดาดอกไม้หลากชนิดในฤดูร้อนที่ฮอกไกโดนั้นก็มีระยะเวลาในการผลิบานที่ยาวนาน แต่อาจมีช่วงเวลาที่สวยที่สุดแตกต่างกันออกไป โดยใครที่มีแผนเดินทางไปช่วยเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมนั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่ดอกลาเวนเดอร์จะผลิบานเต็มที่ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป และยังสามารถติดตามเว็บไซต์ของฟาร์มต่างๆ ที่จะคอยอัปเดตภาพดอกไม้ชนิดต่างๆ ในแต่ละช่วงเวลาให้ดูกันอย่างชัดเจน
ค่าเข้าชม : ส่วนใหญ่เปิดให้เข้าชมฟรี (อาจมีบางแห่งเก็บค่าบริการเพิ่มเติม)
เวลาเปิดปิด : ประมาณ 09.00 – 17. 00 น.
การเดินทาง : ฟาร์มที่มีทุ่งลาเวนเดอร์และดอกไม้อื่นจำนวนมากมีอยู่หลายที่รอบบริเวณสถานี Lavender Batake ในเมืองฟุราโนะ
5. เทศกาลฤดูร้อนซัปโปโร (Sapporo Summer Festival)
ใครที่ตั้งใจเดินทางมาดูดอกไม้ที่เกาะฮอกไกโด ก็ไม่ควรพลาดเทศกาลฤดูร้อนซัปโปโร ซึ่งจัดขึ้นบริเวณสวนโอโดริใจกลางเมืองซัปโปโร เมืองหลวงของเกาะฮอกไกโด ซึ่งจัดขึ้นอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกรกฎาคมไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคม ความพิเศษแห่งนี้คือการผสมผสานการจัดงานเทศกาลทั้งแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่มีการออกร้านขายของ โซนเล่นเกม และลานเต้นรำบงโอโดริแบบดั้งเดิม ผนวกเข้ากับเทศกาลแบบสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการจุดดอกไม้ไฟ แผงลอยร้านค้า ลานเบียร์ ท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่นของสวนกลางเมือง และหอคอยซัปโปโรทาวเวอร์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในบริเวณเดียวกัน
หนึ่งในสิ่งที่ไม่ควรพลาดในงานนี้ก็คือลานเบียร์ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า “เบียร์การ์เดน” ที่มีร้านเบียร์เรียงรายตามแนวถนนยาวกว่า 1 กิโลเมตร และมีที่นั่งรองรับมากกว่า 13,000 ที่นั่ง รวบรวมเบียร์นานาชนิดจากผู้ผลิตชั้นนำในประเทศญี่ปุ่นส่งตรงมาให้ลิ้มลองกันอย่างจุใจ เหมาะอย่างยิ่งกับผู้รักเบียร์เพราะจะได้ชิมคราฟต์เบียร์หลากหลายชนิด
ค่าเข้าชม : ฟรี
ระยะเวลาจัดเทศกาล : 19 กรกฎาคม – 16 สิงหาคม (ตั้งแต่ 12.00 – 21.00 น.)
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสถานี Odori
6. ล่องเรือที่นากาโทโระ จ. ไซตามะ (Nagatoro Line Kudari, Saitama)
อีกหนึ่งกิจกรรมสนุกๆในฤดูร้อนที่ได้ทั้งดับร้อนและชมความสวยงามของธรรมชาติไปพร้อมๆกัน ก็คือการล่องเรือตามแม่น้ำในจังหวัดต่างๆของญี่ปุ่น โดยหนึ่งในจุดที่ได้รับความนิยม มีชื่อเสียงเรื่องความสวยงาม และอยู่ไม่ไกลจากโตเกียวก็คือการล่องเรือที่นากาโทโระใน จ. ไซตามะ ที่จะได้พบกับลำธารใส โขดหินรูปร่างแปลกตา และความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติสองฟากฝั่งแม่น้ำ
รูปแบบของการล่องเรือนั้นไม่ใช่แค่พายเรือไปตามแม่น้ำเฉยๆ แต่ในบางจุดยังเป็นการล่องแก่งที่จะเจอกับสายน้ำเย็นไหลเชี่ยวให้ได้ตื่นเต้นกัน โดยมี 3 แพ็คเกจให้เลือกคือ โอยาฮานะ และ ทาคาโซโกะ ซึ่งทั้งสองเป็นชื่อของสะพานข้ามแม่น้ำที่เป็นจุดเริ่มต้นของการล่องเรือ มีความยาวรวม 3 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ค่าบริการคนละ 1,600 เยน และแพ็คเกจสุดท้ายก็คือเอาเส้นทางของทั้งสองแพ็คเกจมาต่อกันเป็นการล่องเรือความยาวรวม 6 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ค่าบริการคนละ 3,200 เยน
หากใครไม่รีบไปไหน ในบริเวณเดียวกันก็ยังมีที่เที่ยวอีกหลากหลายรูปแบบ เช่นศาลเจ้าโฮโดซันและสวนสัตว์ชิชิบุโฮโดซัน ที่มีเหล่าอัลปาก้าให้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
ค่าบริการ : 1,600 – 3,200 เยน
ระยะเวลาให้บริการ : 09.00 – 16.00 น.
การเดินทาง : สถานี Nagatoro
7. คามิโคจิ จ.นากาโนะ (Kamikochi, Nagano)
คามิโคจิเป็นพื้นที่ธรรมชาติในจ. นากาโนะ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น และได้เริ่มกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของคนไทยเมื่อไม่นานมานี้ จากภาพความสวยงามของแนวภูเขาที่โอบล้อมไปทุกด้าน ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และแม่น้ำที่ใสจนเป็นสีมรกต จนถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีความสวยงามมากที่สุดในปัจจุบัน
สำหรับใครที่มาเยือนคามิโคจิในช่วงฤดูร้อน แม้จะพลาดชมบรรยากาศของเทือกเขาหิมะ แต่ก็ทดแทนด้วยความสวยงามของดอกไม้ป่านานาชนิด เส้นทางชมธรรมชาติมากมายที่เปิดให้เดินเที่ยวโดยไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวหรือมีประสบการณ์อะไร และแม่น้ำอะซูสะที่มีสายน้ำใสบริสุทธิ์ซึ่งเกิดจากหิมะบนยอดเขาที่ละลายลงมา นอกจากนี้ยังมีจุดท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดคือบึงไทโชและบึงทาชิโระ ซึ่งเป็นสองจุดถ่ายรูปยอดฮิตที่สามารถมองเห็นเงาสะท้อนของภูเขาและผืนป่าโดยรอบสะท้อนอยู่บนผิวน้ำอย่างงดงาม
เกร็ดเล็กน้อยสำหรับใครที่เป็นแฟนการ์ตูนจิบลิ ขอแนะนำให้พักที่โรงแรมโรงแรมคามิโกจิอิมพีเรียล (Kamikochi Imperial Hotel) สักหนึ่งคืน เพราะที่นี่ถูกใช้เป็นฉากที่พระเอกและนางเอกจากเรื่อง The Wind Rises ได้มาพบกัน
ค่าเข้าชม : ฟรี
เวลาเปิดปิด : เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง : มีรถบัสของ Highway Bus วิ่งตรงจากชินจูกุทุกวัน
8. น้ำตกโนมิโซะ จ.ชิบะ (Noumizo Waterfall, Chiba)
ถัดจากที่เที่ยวทางธรรมชาติยอดฮิตแล้ว ก็อยากแนะนำที่เที่ยวธรรมชาติลับๆที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอีกซักแห่ง ที่นี่มีความสวยงามในช่วงฤดูร้อนเป็นอย่างมาก สถานที่ที่ว่าก็คือน้ำตกโนมิโซะ ใน จ. ชิบะ น้ำตกแห่งนี้เป็นเพียงน้ำตกเตี้ยๆ ราวกับลำธารที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ แต่ความพิเศษของน้ำตกแห่งนี้คือตั้งอยู่กลางถ้ำที่มีชื่อว่าคาเมอิวะ โดยช่วงเวลาที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า และแสงอาทิตย์ค่อยๆ ส่องลอดถ้ำแห่งนี้ หากอยู่ในมุมที่พอดีก็จะเห็นภาพของลำแสงที่ส่องลงสู่ผืนน้ำ และเมื่อเกิดเป็นเงาสะท้อนขึ้นมารวมกันแล้ว จะกลายเป็นรูปหัวใจอย่างน่าอัศจรรย์
ค่าเข้าชม : ฟรี
เวลาเปิดปิด : เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง : สถานี Kazusa-Kameyama เดินต่ออีก 30 นาทีหรือต่อรถแท็กซี่
9. นอนดูดาวที่หมู่บ้านแห่งดวงดาวอาจิ จ. นากาโนะ (Star Village Achi, Nagano)
นอกจากความสวยงามของหิ่งห้อยในค่ำคืนแห่งฤดูร้อนแล้ว ก็ยังเป็นช่วงเวลาที่สามารถมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจนเช่นกัน ในญี่ปุ่นเองก็มีการจัดอันดับสถานที่ดูดาวที่ดีที่สุดอยู่หลากหลายรูปแบบทั่วประเทศ แต่สถานที่ที่ชูจุดขายเรื่องการดูดาวอย่างเต็มรูปแบบก็คือหมู่บ้านแห่งดวงดาวอาจิ ในจ. นากาโนะ ซึ่งจังหวัดนี้ขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงมีแสงไฟและสิ่งรบกวนจากเมืองใหญ่ค่อนข้างน้อย ทำให้มีโอกาสมองเห็นดวงดาวมากมาย รวมถึงทางช้างเผือกที่อาจปรากฏให้เห็นชัดเจนด้วยตาเปล่าในคืนที่สภาพอากาศเป็นใจ
แม้จะมีชื่อเรียกว่าหมู่บ้าน แต่สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในหมู่บ้านนั้นให้บรรยากาศของอวกาศและความล้ำยุคเป็นอย่างมาก ทั้งคาเฟ่ที่ตกแต่งในธีมกระสวยอวกาศ มีการจัดเตรียมกล้องดูดาวอย่างดีให้กับผู้มาเยือนเป็นจำนวนมาก และที่พลาดไม่ได้ก็คือ Night Tourที่จะพาเราไปสัมผัสกับความสวยงามของดวงดาวในยามค่ำคืน (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
ค่าเข้าชม : ฟรี (Night Tour คนละ 2,000 เยน)
เวลาเปิดปิด : เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง : สถานี Kamisuwa ต่อรถบัสสาย Suwa-Hirugami มาลงที่หมู่บ้าน
10. หาดเรืองแสง จ.โอกายามะ (Umihotaru, Okayama)
สถานที่สุดท้ายถือเป็นปรากฏการณ์ที่หาชมได้ยากแม้ในญี่ปุ่น และยังเกิดขึ้นเฉพาะในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น ซึ่งปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตที่ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า “อุมิโฮตารุ” หรือหิ่งห้อยแห่งท้องทะเล ซึ่งก็คือแพลงก์ตอนและกุ้งบางชนิดที่มีสารเรืองแสงในตัวเอง และจะพบได้ในเขตทะเลเซโตะ (ทะเลที่ขั้นกลางระหว่างเกาะฮอนชู เกาะชิโกกุ และเกาะคิวชู) โดยปรากฏการณ์นี้เกิดจากสัตว์เล็กๆเหล่านี้ถูกพัดพามาเกยฝั่งนั่นเอง ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นในเวลาค่อนข้างดึกตั้งแต่หลัง 21.00 น. เป็นต้นไป และอาจไม่เกิดขึ้นทุกวันก็ได้
เนื่องจากขอบเขตของทะเลเซโตะนั้นกว้างมาก จึงทำให้มีโอกาสพบกับปรากฏการณ์หาดเรืองแสงได้หลายที่ ซึ่งอาจทำให้จำเป็นต้องเช่ารถขับเพื่อตระเวนหาในตอนกลางคืน โดยจุดที่มีชื่อเสียงก็คือหาดอุชิมาโดะ ในจ. โอกายามะ ที่เคยมีช่างภาพต่างประเทศสองคนมาถ่ายภาพหาดเรืองแสงในชื่อว่า “Weeping Stones” จนเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก
ค่าเข้าชม : ฟรี
เวลาเปิดปิด : เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง : แนะนำให้เช่ารถขับ
ผู้เขียน: ชินพงศ์ มุ่งศิริ
เริ่มต้นทำงานเป็นช่างภาพอิสระหลังเรียนจบ เดินทางไปถ่ายภาพที่ประเทศญี่ปุ่นบ่อยครั้งจนครบทั้ง 4 ฤดูอันสวยงาม และเกือบครบทุกภูมิภาค มีผลงานภาพถ่ายตีพิมพ์ในไกด์บุ๊คระดับโลกอย่าง Lonely Planet ถึง 3 เล่ม คือ Discovery Japan, Japan และ Kyoto รวมถึงเว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำอย่าง National Geographic Traveler UK, BBC Travel, Travel+Leisure, TIME และอีกมาก
นอกจากการถ่ายทอดความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นผ่านภาพถ่าย ปัจจุบันยังหันมาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านทางตัวอักษรทั้งในฐานะนักเขียนและนักแปลควบคู่กันไปอีกด้วย