10 ที่เที่ยวแนวชายฝั่งทะเลสุดสวยในญี่ปุ่น
เมื่อพูดถึงทะเลญี่ปุ่น หลายคนอาจมีความคิดว่าไม่สวยและไม่น่าเล่นเท่าไร แต่ถ้าตัดเรื่องการเล่นน้ำออกไป ชายฝั่งทะเลในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่นนั้นถือว่ามีความสวยงามอลังการ ซึ่งหลายที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักและยังไม่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากนัก เราจึงได้รวบรวม 10 ที่เที่ยวชายฝั่งทะเลที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นมาแนะนำ เพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการท่องเที่ยว
1. เกาะเอโนะชิมะ จ. คานางาวะ (Enoshima, Kanagawa)
เกาะเล็กๆ ในจ. คานางาวะที่มีทัศนียภาพอันงดงามจนได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 ทัศนียภาพของญี่ปุ่นที่สวยงามที่สุด (ญี่ปุ่นมีการจัดอันดับแบบนี้มากมาย) โดยในวันที่อากาศแจ่มใสนั้นสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิจากบริเวณชายหาดได้อย่างชัดเจน และยังสามารถชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามได้ในยามเย็น นอกจากนี้บรรยากาศและที่เที่ยวต่างๆ ภายในเกาะก็มีทั้งกลิ่นอายของความย้อนยุคและโรแมนติค จนคนญี่ปุ่นเองก็นิยมมาเดทกันที่เกาะแห่งนี้ ภาพยนตร์และซีรี่ส์ญี่ปุ่นมากมายก็ใช้เกาะดอโนะชิมะเป็นฉากถ่ายทำ สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปก็มีกิจกรรมมากมายให้เลือกทำ ไม่ว่าจะเป็นแวะกินอาหารทะเลอร่อยๆ ขึ้นหอคอยชมวิว แวะศาลเจ้า ไปจนถึงแช่ออนเซ็น
เกาะเอโนะชิมะนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงทั้งจากชาวโตเกียวและนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปลงแถบภูมิภาคคันโต เนื่องจากเกาะแห่งนี้ใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวด้วยรถไฟประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น จึงสามารถเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับได้อย่างสะดวกสบาย
ค่าเข้าชม: ฟรี (สถานที่บางแห่งเช่นหอคอยชมวิวอาจมีค่าเข้าชมเพิ่มเติม)
เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Katase-Enoshima
2. มัตซึชิมะ จ. มิยางิ (Matsushima, Miyagi)
มัตซึชิมะเป็นเมืองชายฝั่งทะเลซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองเซนได โดยมีจุดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคืออ่าวมัตซึชิมะ ซึ่งบริเวณอ่าวแห่งนี้ประกอบไปด้วยหมู่เกาะหลากหลายขนาดเป็นจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยเกาะ เกาะบางแห่งยังมีรูปทรงที่สวยงามแปลกตาจากการโดนลมและน้ำทะเลกัดเซาะจนเป็นรูปทรงต่างๆ และอ่าวแห่งนี้ยังได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 3 ทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดของญี่ปุ่น จึงทำให้เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวยอดนิยมของภูมิภาคโทโฮคุ รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาโซนโตเกียวก็สามารถมาได้ไม่ยากนัก
นอกจากการชมความสวยงามของทัศนียภาพแล้ว นักท่องเที่ยวที่มาเยือนมัตซึชิมะยังมีกิจกรรมอีกมากมายให้เลือกทำ ทั้งการเดินข้ามสะพานไม้สีแดงไปยังเกาะฟูคุอูระ เที่ยววัดและศาลเจ้าเก่าแก่ภายในเมือง รวมถึงการขึ้นเรือเฟอรี่เพื่อชมความสวยงามของเกาะต่างๆ ในอ่าวมัตซึชิมะอย่างใกล้ชิด (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
ค่าเข้าชม: ฟรี (สถานที่บางแห่งเช่นวัดหรือศาลเจ้ามีค่าเข้าชมเพิ่มเติม)
เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Matsushima Kaigan
3. ศาลเจ้ากลางน้ำ อิตสึกุชิมะ จ.ฮิโรชิมะ (Itsukushima Jinja Shrine, Hiroshima)
ศาลเจ้าอิตสึกุชิมะหรือที่นิยมเรียกกันว่าศาลเจ้ากลางน้ำ เป็นศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ริมทะเล ซึ่งมีทั้งความเก่าแก่และความสำคัญจนได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก้ และยังเป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่น จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้คือเสาโทริอิขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางทะเล ที่โดดเด่นจนเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คและภาพจำของประเทศญี่ปุ่นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้มาเยือนศาลเจ้าแห่งนี้ได้ตลอดทั้งปี
ในช่วงที่น้ำทะเลลด เราสามารถเดินไปที่เสาโทริอิกลางทะเลได้ ซึ่งชาวญี่ปุ่นนิยมวางเหรียญเงินไว้ที่ฐานของเสาโทริอิแล้วอธิษฐานขอพร หรือหากใครมาไม่ทันช่วงน้ำลด ก็สามารถขึ้นเรือที่ขับวนรอบอ่าวเพื่อชมความงามของศาลเจ้า และยังพาไปขับลอดเสาโทริอิกลางทะเลอีกด้วย (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
ค่าเข้าชม: 300 เยน
เวลาเปิดปิด: 06.30 – 18.00
การเดินทาง: สถานี JR Miyajimaguchi หรือ Hiroden-Miyajimaguchi จากนั้นขึ้นเรือข้ามฟากมาที่เกาะอิตสึกุชิมะ
4. ชายฝั่งคิตะยามาซากิ จ.อิวาเตะ (Kitayamazaki, Iwate)
ชายฝั่งคิตะยามาซากิเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติซันริคุ (Sanriku Fukko National Park) โดยมีลักษณะเป็นแหลมและหน้าผาที่ยื่นออกไปในทะเลตลอดแนวชายฝั่งความยาว 8 กิโลเมตร โดยในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนจะได้เห็นภาพของทุ่งหญ้าและพรรณไม้ต่างๆ ที่ผลิใบเขียวขจีตามแหลมและหน้าผาต่างๆ ส่วนในฤดูหนาวก็จะได้พบกับภาพของหิมะสีขาวที่ปกคลุมโขดหินสีดำสนิทจนเป็นความสวยงามในอีกรูปแบบหนึ่ง
จุดชมวิวที่ดีที่สุดในการชมวิวหน้าผาและชายฝั่งคือหอชมวิวคิตะยามาซากิ (Kitayamazaki Observatory) ซึ่งในบริเวณเดียวกันยังมีร้านอาหารและร้านจำหน่ายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือการล่องเรือ Sappa Boat Adventures เพื่อชมความสวยงามของแนวชายฝั่งคิตะยามาซากิได้อย่างเต็มตา (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Tanohata จากนั้นต่อรถแท็กซี่ไปยังอุทยาน
5. อุทยานแห่งชาติชิเรโตโกะ จ.ฮอกไกโด (Shiretoko National Park, Hokkaido)
ภูมิภาคฮอกไกโดนั้นได้ชื่อว่าเป็นภูมิภาคที่มีภูมิประเทศและธรรมชาติที่สวยงาม และยังเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติสำคัญของญี่ปุ่นมากมาย โดยหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คืออุทยานแห่งชาติชิเรโตโกะ ซึ่งมีลักษณะเป็นคาบสมุทรขนาดใหญ่ที่ยื่นออกไปกลางทะเล ทำให้ทั้งสองด้านของอุทยานนั้นมีแนวชายฝั่งทะเลที่สวยงาม ด้านหนึ่งมองเห็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ ส่วนอีกด้านก็มองเห็นแนวภูเขาหิมะ และยังมีแหลมที่มีทัศนียภาพอันน่าประทับใจอยู่อีกมากมาย เช่นแหลมพูยูนิ (puyuni cape) แหลมชิเรโตโกะ (Shiretoko cape) ที่อยู่ตรงจุดปลายสุดของอุทยาน และแหลมซาชิรุอิ (Sashirui Cape)
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Shiretoko Shari และต่อรถบัสเข้าไปยังอุทยาน
6. นาข้าวชิโรโยเนะ เซนไมดะ จ.อิชิคาวะ (Shiroyone Senmaida, Ishikawa)
นอกจากภาพของหมู่เกาะ โขดหิน และแหลมต่างๆแล้ว อีกหนึ่งบรรยากาศริมฝั่งทะเลที่ไม่เหมือนใครและยังมีความสวยงามไม่แพ้กันก็คือนาข้าวชิโรโยเนะ เซนไมดะ ซึ่งตั้งอยู่ในจ.อิชิคาวะ โดยนาข้าวแห่งนี้มีลักษณะเป็นนาข้าวแบบขั้นบันไดบนเนินเขา ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่หาดูได้ค่อนข้างยากในญี่ปุ่นอยู่แล้ว และยังตั้งอยู่ติดกับชายฝั่งทะเล ทำให้ทัศนียภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของนาข้าวแห่งนี้ได้ดึงดูดผู้คนมากมายให้เดินทางมาเยือน และทางเมืองเองก็ยังมีการจัดงานต่างๆ เช่นงานเฉลิมฉลองการเกี่ยวข้าว และงานจัดแสงไฟ Light up เพื่อเรียกนักท่องเที่ยวอีกด้วย
บรรยากาศที่นาข้าวชิโรโยเนะ เซนไมดะ จะเปลี่ยนแปลงไปทุกฤดูกาล โดยระหว่างเดือนมกราคม - กุมภาพันธุ์ จะเป็นเดือนที่หิมะปกคลุมนาข้าวทั้งหมด ปลายเดือนเมษายน - เดือนกรกฎาคม จะเป็นช่วงเตรียมนาและหว่านข้าว เดือนสิงหาคม - กันยายน จะเป็นช่วงที่นาข้าวออกรวง และเดือนตุลาคม - มีนาคม จะมีการจัด Light up ตอนกลางคืนด้วยไฟ LED กว่า 21,000 ดวง
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: จากสถานี Anamizu ต่อรถบัส Hokutetsu Bus ไปลงที่ Shiroyone
7. ชายฝั่งคุนิกะ จ.ชิมาเนะ (Kuniga Kaigan coast, Shimane)
คุนิกะเป็นชายฝั่งทะเลความยาว 7 กิโลเมตร และเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติไดเซน โอกิ (Daisen-Oki National Park) บนเกาะโอกิ จ.ชิมาเนะ โดยชายฝั่งทะเลคุนิกะนั้นเป็นจุดที่ต้องปะทะกับคลื่นลมอยู่ตลอดเวลา ทำให้หน้าผาและโขดหินตลอดทั้งแนวถูกกัดเซาะเป็นรูปทรงต่างๆที่สวยงามและแปลกตา บางจุดมีลักษณะเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ซึ่งสามารถล่องเรือผ่านได้ บางจุดมีลักษณะเหมือนกิ้งก่าที่กำลังไต่อยู่บนหน้าผา ซึ่งมีชื่อเรียกจุดนี้ว่า “Tokage-iwa” นอกจากนี้ยังมีม้าป่าที่ใช้ชีวิตอยู่ตามธรรมชาติซึ่งอาจพบได้ตามแนวชายฝั่งเช่นกัน
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Yonago หรือ Matsue จากนั้นต่อรถบัสมาที่ท่าเรือ Sakaiminato หรือ Shichirui เพื่อข้ามเรือเฟอรี่มายังเกาะโอกิ และต่อรถบัสหรือรถแท็กซี่บนเกาะไปยังอุทยาน
8. แหลมอะชิซุริมิซากิ จ.โคจิ (Ashizuri Misaki Cape, Kochi)
อะชิซุริมิซากิ เป็นแหลมที่ตั้งอยู่บริเวณใต้สุดของเกาะชิโกกุ ถือเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติอะชิซุริ อุวะไค (Ashizuri-Uwakai National Park) มีจุดเด่นตรงที่บริเวณโดยรอบนั้นห้อมล้อมไปด้วยก้อนหินขนาดมหึมา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือหินฮาคุซัน โดมง (Hakusan Domon) ที่ถูกลมและน้ำกัดเซาะจนมีรูขนาดใหญ่ตรงกลาง และยังมีประภาคารสีขาวตั้งอยู่อย่างโดดเด่น ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นจุดชมวิวเพื่อชมทัศนียภาพโดยรอบได้อย่างสวยงาม
นอกจากการชมวิวจากแหลมแห่งนี้แล้ว บริเวณโดยรอบยังมีวัดเก่าแก่ มีบ่อออนเซ็น เส้นทางเดินชมธรรมชาติ และยังมีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอะชิซุริ (Ashizuri Aquarium) ให้แวะชมอีกด้วย
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Nakamura จากนั้นต่อรถบัสของบริษัท Kochi Seinan Kotsu มาลงที่ป้าย Ashizuri-misaki
9. แหลมชิริยาซากิ จ.อาโอโมริ (Cape Shiriyazaki, Aomori)
แหลมชิริยาซากิเป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ประกอบไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวขจีตัดกับผืนน้ำสีฟ้า โขดหินสูงใหญ่ และยังมีประภาคารสีขาวเป็นฉากหลัง แต่นอกจากความสวยงามด้านทัศนียภาพแล้ว แหลมแห่งนี้ยังมีความพิเศษตรงที่เป็นแหล่งอาศัยตามธรรมชาติของฝูงม้าญี่ปุ่นสายพันธุ์คันดาจิเมะ ที่มีลักษณะลำตัวอวบใหญ่ ขาสั้น โดยฝูงม้าเหล่านี้ได้รับการคุ้มครองและดูแลในฐานะสมบัติทางธรรมชาติของจ.อาโอโมริ ภาพทั้งหมดที่จะได้มาสัมผัสที่นี่จึงให้บรรยากาศที่แตกต่างและน่าประทับใจไปพร้อมๆ กัน
ค่าเข้าชม: เข้าชมฟรี
เวลาเปิดทำการ: 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Shimokita และต่อรถแท็กซี่ไปยัง Mutsu Bus Terminal เพื่อขึ้นรถบัส Shimokita Kotsu Bus สาย Shiriya ไปลงที่ป้าย Shiriyazaki-kuchi
10. แหลมโอเสะ จ.ชิซึโอกะ (Cape Ose, Shizuoka)
แหลมโอเสะนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรอิซุ ซึ่งเป็นแหล่งออนเซ็นและเมืองตากอากาศยอดนิยมใกล้โตเกียว ซึ่งจุดเด่นของแหลมแห่งนี้คือการที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อย่างชัดเจน และตัวแหลมก็ยังมีลักษณะที่โค้งเข้าไปหาภูเขาไฟฟูจิอย่างพอดิบพอดีเช่นกัน โดยแหลมแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากฮาโกเน่ จุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิยอดฮิตมาประมาณ 50 กิโลเมตร เหมาะสำหรับใครที่กำลังมองหาจุดชมภูเขาไฟฟูจิใหม่ๆ นอกเหนือจากบริเวณทะเลสาบทั้ง 5 และยังสามารถชมวิวสวยๆของแนวชายฝั่งรวมถึงแวะแช่ออนเซ็นไปพร้อมกัน
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดปิด: 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Numazu จากนั้นต่อรถบัส Tokai มาลงที่ป้าย Osezaki
ผู้เขียน: ชินพงศ์ มุ่งศิริ
เริ่มต้นทำงานเป็นช่างภาพอิสระหลังเรียนจบ เดินทางไปถ่ายภาพที่ประเทศญี่ปุ่นบ่อยครั้งจนครบทั้ง 4 ฤดูอันสวยงาม และเกือบครบทุกภูมิภาค มีผลงานภาพถ่ายตีพิมพ์ในไกด์บุ๊คระดับโลกอย่าง Lonely Planet ถึง 3 เล่ม คือ Discovery Japan, Japan และ Kyoto รวมถึงเว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำอย่าง National Geographic Traveler UK, BBC Travel, Travel+Leisure, TIME และอีกมาก
นอกจากการถ่ายทอดความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นผ่านภาพถ่าย ปัจจุบันยังหันมาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านทางตัวอักษรทั้งในฐานะนักเขียนและนักแปลควบคู่กันไปอีกด้วย