ไปญี่ปุ่นกี่วันดี? และไปซักกี่เมืองถึงจะพอดี
3-4 วัน
ระยะเวลา 3-4 วัน ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเที่ยวเมืองใหญ่ได้ 1 เมืองเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเมืองใหญ่อย่างโตเกียว โอซาก้า นาโกย่า หรือฟุกุโอกะ และอาจแวะไปเที่ยวเมืองรองใกล้เคียงได้อีกประมาณ 1-2 เมือง หลายคนอาจมองว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นเกินไปสำหรับการท่องเที่ยว แต่ถ้ามองในเรื่องของความสะดวกสบายในการเดินทางในญี่ปุ่น บวกกับเที่ยวบินที่มีให้เลือกหลากหลายในปัจจุบันทั้งสายการบินธรรมดาและโลว์คอสต์ ทำให้นักท่องเที่ยวในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องรอไปเที่ยวครั้งเดียวยาวๆ เพียงแค่มีวันหยุด 1-2 วัน บวกกับเสาร์อาทิตย์ก็สามารถบินมาเที่ยวได้แล้ว
เนื่องจากเป็นช่วงเวลาในการเที่ยวระยะสั้นจึงอาจมีข้อจำกัดอยู่บ้าง โดยเฉพาะข้อจำกัดในเรื่องสภาพอากาศ เช่นตั้งใจจะไปดูภูเขาไฟฟูจิ แต่หากแพลนไว้แค่วันเดียว และวันนั้นเป็นวันที่ฟ้าครึ้มจนมองไม่เห็นฟูจิ ก็อาจทำให้เสียเที่ยว หรือตั้งใจไปดูซากุระ แต่เมื่อถึงวันเดินทางจริงซากุระยังไม่บานหรือบานจนร่วงไปแล้ว จะเดินทางไปที่เมืองไกลๆ ที่ซากุระกำลังบานก็มีเวลาไม่เพียงพอ
ข้อแนะนำสำหรับคนที่มีเวลาเที่ยวแค่ 3-4 วัน ก็คือให้วางแผนเที่ยวไว้แบบหลวมๆ เช่นหากตั้งใจจะไปดูภูเขาไฟฟูจิ (หรือสถานที่ที่อยากไปมากที่สุดในทริปนั้น) อาจต้องรอให้ไปถึงญี่ปุ่นก่อน แล้วตรวจสอบพยากรณ์อากาศว่าในช่วง 3-4 วันนี้ วันไหนอากาศแจ่มใสที่สุดก็เลือกไปวันนั้น หรือสำหรับการเดินทางไปดูซากุระ อาจต้องทำการบ้านเรื่องจุดชมซากุระในเมืองใกล้เคียงเอาไว้ล่วงหน้า หรือหากเป็นไปได้คือรอจนกว่าพยากรณ์ซากุระจะเริ่มแม่นยำ (ยิ่งใกล้ยิ่งแม่นยำ ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ - ต้นเดือนมีนาคม) แล้วค่อยจองตั๋ว แต่อาจต้องแลกกับตั๋วเครื่องบินที่มีราคาสูงขึ้นเช่นกัน
สิ่งที่ไม่แนะนำสำหรับคนที่มีเวลาเที่ยวแค่ 3-4 วัน คือไม่ควรพักค้างคืนในหลายเมือง ควรใช้วิธีปักหลักยาวในหนึ่งเมืองแล้วเที่ยวเมืองใกล้เคียงแบบไปเช้าเย็นกลับจะสะดวกกว่ามากๆ และที่สำคัญคือไม่ควรเที่ยวแบบข้ามภูมิภาค เช่นจากโตเกียวไปโอซาก้า เพราะนอกจากจะเสียเวลาไปกับการเดินทางแล้ว ยังทำให้มีเวลาเที่ยวแต่ละสถานที่ในหนึ่งวันค่อนข้างน้อย จนอาจต้องเที่ยวแบบเร่งรีบมากเกินไป
ตัวอย่างแผนการเที่ยว :
โตเกียว 3 วัน + เมืองใกล้เคียง 1 วัน เช่นทะเลสาบคาวกุจิโกะ, ฮาโกเน่, นิกโก้ หรือโยโกฮาม่า
โอซาก้า 2-3 วัน + เมืองใกล้เคียง 1-2 วัน เช่นเกียวโต, นารา, โกเบ
ตัวอย่างพาสแนะนำ :
Tokyo Metro Pass แบบ 24, 48 หรือ 72 ชั่วโมง, JR Tokyo Wide Pass (สำหรับโตเกียว)
Kansai Thru Pass, JR Kansai Area Pass (สำหรับโอซาก้า)
6-7 วัน
ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเที่ยวทั่วทั้งภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง แบบละเอียด ไม่ว่าจะเป็นคันโต คันไซ ฮอกไกโด รวมถึงภูมิภาคอื่นๆ หรือการเที่ยวระหว่างเมืองใหญ่ 2 เมืองที่อยู่ห่างกันเช่นโตเกียว-โอซาก้า โตเกียว-ซับโปโร นาโกย่า-โอซาก้า และยังเหมาะสำหรับการเที่ยวเมืองใหญ่ 1 เมืองแบบสบายๆโดยไม่ต้องรีบตื่นเช้าและตารางก็ไม่แน่นมาก หรือเป็นการเดินทางพร้อมกับเด็กหรือผู้สูงอายุก็เหมาะ
ระยะเวลา 6-7 วันเป็นระยะเวลาที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปในการเที่ยวญี่ปุ่น และค่อนข้างเป็นไปได้สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถลาหยุดติดต่อกันได้เป็นเวลานานๆ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สามารถวางแผนเที่ยวได้หลากหลาย คนที่ไปญี่ปุ่นครั้งแรกก็สามารถแวะเที่ยวที่ดังหรือเมืองใหญ่ในโซนเดียวกันได้ค่อนข้างครบถ้วน คนที่ไปซ้ำก็มีเวลาเก็บรายละเอียดสถานที่ต่างๆ มากขึ้น และต่อให้เจอกับข้อจำกัดเรื่องสภาพอากาศ ก็ยังพอปรับแผนเที่ยวเพื่อแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้
นอกจากนี้ สำหรับใครที่ตั้งใจจะไปเที่ยวแถบฮอกไกโด ระยะเวลา 6-7 วันถือเป็นระยะเวลาพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับภูมิภาคนี้ เพราะถึงแม้ว่าฮอกไกโดจะมีรถไฟหลายสายเหมือนภูมิภาคอื่นๆ แต่ก็มีรอบน้อยกว่าและมีรถไฟด่วนน้อยกว่า ทำให้การเดินทางระหว่างเมืองต่างๆนั้นใช้เวลามากพอสมควร เช่นรถไฟระหว่างซัปโปโร-ฮาโกดาเตะนั้นใช้เวลาเดินทางมากถึงประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ทำให้ยากแก่การเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ หากมีเวลาน้อยกว่านี้อาจเที่ยวได้เพียงไม่กี่เมืองในฮอกไกโดเท่านั้น
คำแนะนำสำหรับคนที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางข้ามภูมิภาค โดยแทนที่จะซื้อพาสอย่าง JR Pass ที่ราคาประมาณ 8,000 บาท อาจใช้วิธีจองตั๋วเครื่องบินโลว์คอสต์ภายในประเทศญี่ปุ่นแทน ซึ่งจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 1-2 พันบาท (ช่วงโปรโมชั่นอาจมีราคาเพียงหลักร้อย) หรือขึ้นรถบัสกลางคืน ซึ่งทำให้ประหยัดค่าที่พักไปได้ 1 คืน บวกกับการจองตั๋วไปกลับคนละสนามบิน เช่นบินมาลงโตเกียว แต่บินกลับจากโอซาก้า เพื่อจะได้ไม่ต้องเดินทางข้ามเมืองกลับมาอีกรอบ
ตัวอย่างแผนการเที่ยว :
โตเกียวและเมืองรอบๆ 4 วัน + โอซาก้า 3 วัน
โตเกียว 3 วัน + คาวากุจิโกะ 2 วัน + เมืองรองใกล้เคียงเช่น นีงาตะ กุนมะ ฟุคุชิมะ อีก 1 วัน
โอซาก้า 3 วัน + เกียวโต 2 วัน + เมืองรองใกล้เคียงเช่น ทาคายาม่า โกเบ คานาซาว่า อีก 1-2 วัน
ตัวอย่างพาสแนะนำ : JR Pass 7 วัน หรือพาสย่อยของแต่ละภูมิภาคที่มีให้เลือกตั้งแต่ 1-7 วัน
10 วัน
ระยะเวลา 10 วันนั้นสามารถแบ่งรูปแบบการเที่ยวได้ 3 แบบกว้างๆคือการเที่ยว 2 ภูมิภาค, การเที่ยว 3 เมืองใหญ่ที่อยู่ห่างกัน หรือ การเที่ยว 2 เมืองใหญ่ และ 1 เมืองรอง โดยรูปแบบสุดท้ายถือเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากได้สัมผัสทั้งบรรยากาศของเมืองใหญ่ในญี่ปุ่น และยังได้ซึมซับเสน่ห์ของเมืองเล็กๆ ที่ต่างก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ซึ่งเมืองรองที่ว่านี้ก็อย่างเช่นทาคายาม่าและชิราคาว่าโก คานาซาว่า อาโอโมริ อากิตะ หรือฮาโกดาเตะ เป็นต้น
คนที่เลือกเที่ยวญี่ปุ่นมากกว่า 1 อาทิตย์อาจเป็นกลุ่มคนที่มีความสนใจในแง่มุมต่างๆ ของญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วไม่ว่าจะเรื่องการ์ตูน ศิลปะ วัฒนธรรม หรืออาหารการกิน หลายคนจึงอาจแบ่งเวลาเที่ยวใน 10 วันนี้ออกเป็นสองก้อนใหญ่ๆ โดยก้อนแรกคือเวลาเพื่อการเที่ยวสถานที่ชื่อดังตามปกติ และอีกก้อนหนึ่งคือการใช้เวลาแบ่งไปทำสิ่งที่ตัวเองสนใจเป็นพิเศษ เช่นการแวะชิมคาเฟ่หรือร้านอาหารดีๆ การตามรอยการ์ตูนที่ชอบ ไปจนถึงการแวะเที่ยวสถานที่เฉพาะทางต่างๆเช่นพิพิธภัณฑ์ แกลลอรี่ศิลปะ หรือโบราณสถานแนวที่ชอบ
ในกรณีที่ต้องเดินทางระยะไกล สามารถใช้วิธีประหยัดค่าเดินทางโดยไม่ต้องซื้อพาสได้แบบเดียวกับที่แนะนำไว้ในการเที่ยวแบบ 6-7 วัน คือการขึ้นเครื่องบินโลว์คอสต์หรือรถบัสกลางคืนแทน หรืออาจซื้อเฉพาะพาสย่อยแบบ 1-3 วันในจุดที่ต้องเดินทางมากเป็นพิเศษ
ตัวอย่างแผนการเที่ยว :
คันโต + คันไซ
คันโต+ฮอกไกโด
โตเกียว-นาโกย่า-โอซาก้า
โตเกียว-อาโอโมริ-ซัปโปโร
โอซาก้า-ฮิโรชิม่า-ฟุกุโอกะ
ตัวอย่างพาสแนะนำ : JR Pass 7 วัน ประกอบกับตั๋วประจำเมืองในวันที่อยู่เมืองใหญ่ เช่นตั๋ว Tokyo Metro 1day ในวันที่อยู่โตเกียว หรือเลือกใช้พาสย่อยของแต่ละภูมิภาคที่มีระยะเวลาให้เลือกตั้งแต่ 1-7 วัน
14-15 วัน
ถือเป็นระยะเวลาสูงสุดที่ประเทศญี่ปุ่นอนุญาตให้คนไทยเข้าประเทศในฐานะนักท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า และเกร็ดเล็กน้อยที่ควรรู้ก็คือระยะเวลา 15 วันที่ระบุไว้นั้นจะไม่นับรวมวันแรกที่เราไปถึงญี่ปุ่น นั่นเท่ากับว่าเรามีเวลาเที่ยวญี่ปุ่นได้จริงๆ ถึง 16 วัน (แต่วันแรกและสุดท้ายก็อาจจะเที่ยวได้ไม่เต็มวัน) ซึ่งระยะเวลากว่าสองสัปดาห์นี้เราสามารถใช้เที่ยว 3 ภูมิภาค หรือเที่ยว 4 เมืองใหญ่ที่อยู่ห่างกันได้แบบไม่เหนื่อยมาก และยังสามารถปรับแผนเที่ยวได้อีกนับไม่ถ้วน
หนึ่งในรูปแบบการเที่ยวที่ได้รับความนิยมสำหรับคนที่มีเวลาเที่ยวญี่ปุ่น 14-15 วัน ก็คือการเที่ยวญี่ปุ่นทั่วทั้งประเทศแบบเหนือจรดใต้ (ซึ่งผู้เขียนเองก็เคยทำ โดยใช้ JR Pass 14 วัน เดินทางตั้งแต่โอซาก้าจนถึงซัปโปโร) โดยระหว่างการเดินทางนั้นสามารถแวะเที่ยวเมืองต่างๆระหว่างเส้นทางได้ตามที่ต้องการ หรือในปัจจุบันมีหลายคนที่แม้จะไม่ใช่ช่างภาพมืออาชีพ แต่ก็นิยมเดินทางไปถ่ายรูปสวยตามสถานที่ต่างๆในประเทศญี่ปุ่น การมีเวลานานขนาดนี้ก็ถือเป็นการรับประกันในระดับหนึ่งแล้วว่าจะมีโอกาสได้รูปสวยๆ กลับมาอย่างแน่นอน
สำหรับใครที่ตั้งใจจะเดินทางไปสัมผัสความสวยงามของฤดูกาลในญี่ปุ่น โดยเฉพาะการชมสีสันของธรรมชาติที่มีเวลาจำกัดอย่างช่วงซากุระบานและช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ระยะเวลายาวนานถึงสองสัปดาห์นี้ทำให้ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน และอาจมีโอกาสได้ชมความงามของฤดูกาลถึง 2 ภูมิภาคในทริปเดียว เช่นการชมดอกซากุระที่เริ่มบานในแถบคันไซและคันโตตั้งแต่ประมาณต้นเมษายน และตามด้วยการเที่ยวชมซากุระในภูมิภาคโทโฮคุที่เริ่มบานประมาณกลางๆหรือปลายเดือนเมษายนเป็นต้นไป
ในกรณีที่เดินทางกันหลายคนระหว่าง 14-15 วันนี้ การเช่ารถขับอาจจะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากกว่าการซื้อพาสรถไฟ (อาจเช่าเป็นบางวันหรือเช่าทั้งทริป ขึ้นอยู่กับแผนการเดินทาง) เพราะอาจมีการปักหลักที่โซนใดโซนหนึ่งนานเป็นพิเศษ หรืออาจเป็นการวางแผนเที่ยวไว้แบบหลวมๆ ระหว่างทางเจอที่ไหนน่าสนใจก็แวะที่นั่น ซึ่งจะช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการเที่ยวมากกว่า
ตัวอย่างแผนการเที่ยว :
เที่ยวญี่ปุ่นเหนือจรดใต้
โอซาก้า-นาโกย่า-โตเกียว-ซัปโปโร
ฟุกุโอกะ-ฮิโรชิม่า-โอซาก้า-โตเกียว
ตัวอย่างพาสแนะนำ : JR Pass 14 วัน หรือพาสย่อยของแต่ละภูมิภาคที่มีให้เลือกตั้งแต่ 1-7 วัน ประกอบกันหลายๆใบ
ผู้เขียน: ชินพงศ์ มุ่งศิริ
เริ่มต้นทำงานเป็นช่างภาพอิสระหลังเรียนจบ เดินทางไปถ่ายภาพที่ประเทศญี่ปุ่นบ่อยครั้งจนครบทั้ง 4 ฤดูอันสวยงาม และเกือบครบทุกภูมิภาค มีผลงานภาพถ่ายตีพิมพ์ในไกด์บุ๊คระดับโลกอย่าง Lonely Planet ถึง 3 เล่ม คือ Discovery Japan, Japan และ Kyoto รวมถึงเว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำอย่าง National Geographic Traveler UK, BBC Travel, Travel+Leisure, TIME และอีกมาก
นอกจากการถ่ายทอดความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นผ่านภาพถ่าย ปัจจุบันยังหันมาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านทางตัวอักษรทั้งในฐานะนักเขียนและนักแปลควบคู่กันไปอีกด้วย