รู้มั้ย? ไทยมีอะไรบ้างที่ดีกว่าญี่ปุ่น
ค่าครองชีพสูงลิบลิ่ว ภาค 1 ผลไม้
ผลไม้ในประเทศญี่ปุ่นไม่ค่อยมีความหลากหลายมากเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะคนญี่ปุ่นไม่นิยมทานผลไม้แบบบ้านเรา ทานกันเพียงเล็กน้อยล้างปากหลังทานอาหาร เวลาทานก็จะถูกจัดอยู่ในจานจิ๋วมาอย่างคาวาอี้ไม่พอยาไส้คนไทยอย่างเรา ๆ ที่กินผลไม้กันเป็นอุตสาหกรรม
ผลไม้ที่วนเวียนตลอดปีก็มีไม่มาก เช่น แอปเปิ้ล องุ่น สตอเบอร์รี่ กล้วย เมลอน แคนตาลูป พีช ลูกพลับ เชอร์รี่เป็นต้น นอกจากมีให้เลือกไม่เยอะแล้วราคาก็แพงมหาโหดและขายกันเพียงกล่องเล็ก ๆ ใส่มาลูกสองลูก ไม่ได้ขายกันเป็นกิโลกรัมแบบบ้านเรา
ส่วนผลไม้ไทยที่พอจะมีขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตคงหนีไม่พ้นมะม่วงสุกที่ตกลูกละ 500 เยน หรือ 150 บาท (บ้านเราซื้อลูกอวบ ๆ กินได้เป็นกิโล ๆ เลย)
แม้แต่ผลไม้กระป๋องในญี่ปุ่นก็มีความหลากหลายน้อยเช่นกัน ส่วนใหญ่จะเป็นส้ม สัปปะรด และผลไม้รวมอย่างฟรุตคอกเทลที่หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป อย่างอื่นนอกจากนี้ต้องไปเสาะแสวงหาซื้อกันเอาเองตามร้านบางร้านเท่านั้น เพราะมีผลไม้กระป๋องเพียงไม่กี่อย่างที่คนญี่ปุ่นจะนำมาใช้ตกแต่งอาหารหรือนำไปใส่ในขนมหวาน
ค่าครองชีพสูงลิบลิ่ว ภาค 2 iTunes
สิ่งนึงที่ทำให้แม่บ้านเมกุโระน้ำตาตกทุกครั้งเมื่อต้องเสียเงินซื้อเจ้าสิ่งนี้ นั่นคือเพลงบน iTunes ค่ะ ที่จริงของทุกอย่างที่ญี่ปุ่นก็แพงไปหมดนั่นแหละ ตอนอยู่ไทยรู้สึกว่าเพลงบน iTunes ราคาถูกมาก เพลงละ 19 บาท แต่พอมาอยู่ญี่ปุ่นล่ะคุณขา ทะลุไปเพลงละ 250 เยน (ประมาณ 75 บาท) นี่แพงกว่าเกือบ 4 เท่าเลยนะคะ! สะเทือนไต อยู่ญี่ปุ่นแต่ค่าครองชีพเท่าไทยจะได้มั้ยอ่า... (*T▽T*)
ค่าครองชีพสูงลิบลิ่ว ภาค 3 ตัดผมราคามหาโหด
การให้บริการตัดผมในญี่ปุ่นถือว่าเป็นการทำสปาในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งราคาที่คุณจะสามารถพบเจอได้ทั่วไปคือ 4,000 - 8,000 เยนต่อการตัดผมหนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นราคาที่แม่บ้านยากจะทำใจก้าวเท้าเข้าไปในร้านตัดผมเหล่านี้ได้ (ಠ_ಠ) แต่เคยได้มีโอกาสตัดผมในช่วงแรก ๆ ที่ได้ย้ายมาอยู่ญี่ปุ่นเพราะยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อยากจะบอกว่ามันซึบาราชี่ (ยอดเยี่ยม) ม๊ากกกๆ ✧⁺⸜(●′▾‵●)⸝⁺✧ ความดีงามคือการที่ลูกค้าอย่างเราได้รับการปรนนิบัติเอาใจใส่ทุกขั้นตอน บริการถอดเสื้อโค้ทแขวนให้เรียบร้อย เตรียมรองเท้าสำหรับเปลี่ยนในร้าน สระผมอย่างเบามือ ถามว่าต้องการตัดทรงไหนอย่างไร ตัดไปฉับๆ ก็ถามว่าแบบนี้โอเคมั้ย? ระดับความสั้นโอเคหรือเปล่า? แทบจะเอาคอตต้อนบัดมาเขี่ยหูให้ ซึ่งเข้าใจเลยว่าทำไมค่าบริการมันถึงได้แพงมหาโหดเช่นนี้!
แต่ถ้าถามว่าราคาแบบถูก ๆ มีมั้ย? ก็มีนะคะ แต่อาจจะหายากหน่อยเพราะมีน้อยมาก ราคาที่ว่าถูกก็ตกอยู่ที่ 1,500 - 2,000 เยน และส่วนใหญ่ก็จะไม่มีบริการสระผมให้ คือเข้ามาตัด จบแล้วก็ออกไปเลย ราคาตัดผมในญี่ปุ่นเป็นข้ออ้างอย่างดีให้ตัวเองยอมไว้ผมยาวค่ะ (ปกติผมสามีจะยาวกว่าเสมอ)
ค่าครองชีพสูงลิบลิ่ว ภาค 4 ราคาตั๋วหนัง
ราคาตั๋วหนังในญี่ปุ่นก็มีราคาแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องที่และแบรนด์ของโรงหนัง แต่ส่วนใหญ่ราคาตั๋วหนังทั่วไปก็จะตกอยู่ที่ 2,000 เยนต่อที่นั่งธรรมดา หรือประมาณ 600 บาทไทย แถมโรงหนังหลาย ๆ ที่ในโตเกียวยังไม่มีระบบแสดงผลทางจอให้ลูกค้าเห็น ถ้าต้องการเลือกที่นั่งพนักงานจะโชว์แผนผังที่นั่งในกระดาษ แล้วจะชี้บอกว่าที่นั่งไหนเหลือบ้าง (นี่ญี่ปุ่นจริงหรือเปล่าเนี่ย?) ส่วนราคาขนมและเครื่องดื่มก็ชาร์จแพงพอ ๆ กับบ้านเราเช่นกันค่ะ สิ่งที่สำคัญคือโรงหนังในประเทศญี่ปุ่นจะร้อนกว่าของไทยมาก ดังนั้นถ้าไปดูหนังหน้าร้อนไม่ต้องพกเสื้อกันหนาวไปเผื่อนะคะ ใส่เสื้อชั้นเดียวบางทีเหงื่อยังชุ่มเลย (;゚∇゚)/
อธิบายรูป : ตั๋วในภาพเป็นตั๋วราคาพิเศษสำหรับผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 50 ปี แสดงใบขับขี่ก็จะสามารถซื้อตั๋วราคานี้ได้ 2 ที่ค่ะ นี่คือข้อดีของการมีสามีวัยชราสินะ (ノ´ヮ´)ノ*:・゚✧
สายฉีดชำระนี้พี่ขอ
สำหรับประชาชนชาวไทยอย่างเรา ซึ่งเติบโตขึ้นมากับห้องน้ำที่มีสายฉีดชำระที่สามารถใช้ในการเล็งตำแหน่งที่ต้องการได้ เมื่อต้องมาใช้ชีวิตในญี่ปุ่นพบว่าการไม่มีสายฉีดชำระนั้นสร้างความลำบากอย่างยิ่งในการใช้ชีวิต (แม้แต่ขันน้ำก็ไม่มี) ถึงแม้จะมีเครื่องทำความสะอาดอัตโนมัติ เพียงกดปุ่มทุกอย่างก็ดลบันดาลได้ ทั้งเสียงน้ำไหล (ใช้กลบเสียงฉี่สำหรับคนขี้อาย) ปุ่มฉีดน้ำทำความสะอาดก้น ปุ่มสำหรับสตรี ปุ่มปรับความแรงและระดับ รวมถึงออฟชั่นที่นั่งอุ่นๆยามหน้าหนาว สำหรับแม่บ้านเมกุโระก็ขอเลือกสายฉีดชำระที่สามารถเล็งเป้าตรงไปยังตำแหน่งที่ต้องการแทนอุปกรณ์ไฮเทคพวกนี้ล่ะนะ
ที่ฮาคือเคยไปเที่ยวบ้านคนญี่ปุ่นที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่ไทย ห้องน้ำแม่นางมีสายฉีดแบบไทยๆด้วย สุโก้ยมาก! (O ̥̆ O)
ไฟเลี้ยวขวา
สิ่งหนึ่งที่มักจะได้ยินคนญี่ปุ่นที่อยู่ไทยบ่นบ่อย ๆ คือ “อยากให้ไฟเลี้ยวขวาเป็นแบบประเทศไทยจังเลย” แต่ก่อนก็ได้แต่สงสัยว่าเอ้ะ! ระบบไฟจราจรที่ญี่ปุ่นต่างจากไทยหรอ? พอได้ย้ายมาอยู่ก็เข้าใจสิ่งที่คนญี่ปุ่นหลาย ๆ คนบ่น
ส่วนใหญ่ตามสี่แยกของญี่ปุ่น ต้องเลี้ยวขวาพร้อมๆกับทางตรงไฟเขียว นั่นหมายถึงที่สี่แยกญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเลี้ยวขวาพร้อมกับรถฝั่งตรงข้ามที่ขับตรงมา อ้าว แล้วเราจะเลี้ยวได้อย่างไรล่ะ? คือเราต้องรอให้รถทางตรงขับมาให้หมดก่อน หรือมีระยะห่างมากพอที่เราจะเลี้ยวได้ เมื่อสบโอกาสก็รีบเลี้ยวเลย ซึ่งส่วนตัวคิดว่ามีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้เยอะเหมือนกันเมื่อเทียบกับการมีไฟเลี้ยวขวาแยก
ที่ญี่ปุ่นจะมีบางแยกที่ใหญ่หรือมีรถมากเท่านั้น ที่มีไฟเลี้ยวขวาแยกต่างหากค่ะ ส่วนทางโทจะไฟเขียวพร้อมๆกับทางม้าลายไฟเขียวด้วย ดังนั้นต้องรอให้คนข้ามแล้วถึงค่อยขับออกไปยังถนนเอกค่ะ ขับรถที่ญี่ปุ่นต้องใจเย็นนิดนึงนะคะ(*´▽`*)
อธิบายรูป : รูปซ้าย ไฟตามสี่แยกที่พบเห็นได้ทั่วไป รูปขวา มีไฟเลี้ยวขวาใต้ไฟแดง เฉพาะสี่แยกสำคัญหรือสี่แยกที่มีรถมาก