รู้รอบเรื่องร้านดองกี้ (Don Quijote)
ร้าน ดองกี้ (Don Quijote) ร้านที่ใครมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่พลาดที่จะเข้ามาช้อปปิ้งแน่นอน ในร้านนี้มีสินค้าหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง ของใช้ ของฝาก ของกิน และอื่นๆอีกมากมายที่เหล่าขอช้อปต้องการ ร้านดองกี้มีสาขาเยอะสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในญี่ปุ่น แต่กว่าจะประสบความสำเร็จขนาดนี้ เขาก็มีประวัติและกลยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา ผ่านอะไรมามากมาย ตามไปดูกันเลย!
ประวัติร้านดองกี้ (Don Quijote)
แรกเริ่มเดิมทีร้านดองกี้เป็นร้านขายปลีกเล็กๆในโตเกียว ก่อตั้งโดยคุณ Takao Yasuda (安田隆夫) โดยคุณยาสุดะเริ่มเปิดร้านค้าแรกเมื่อปี 1980 แต่ร้านที่เริ่มใช้ชื่อดองกี้นั้นเพิ่งเปิดเมื่อปี 1989 ที่เมืองฟุชูในโตเกียว (สาขาในภาพด้านบน)
จะว่าไปความสำเร็จสำคัญของร้านดองกี้นั้นส่วนหนึ่งมาจากการที่ร้านมีของหลายอย่าง และเปิดขายดึกมากๆ จะเรียกว่าบังเอิญก็ว่าได้ เพราะว่าตอนเริ่มต้นใหม่ๆด้วยความที่จำนวนพนักงานไม่พอ จึงทำให้คุณยาสุดะต้องมาจัดร้านเองตอนกลางคืนอยู่บ่อยๆ แต่ปรากฏว่ากลับมีลูกค้าเข้ามาในร้านจะมาซื้อของเพราะนึกว่าร้านยังเปิดอยู่ จุดนี้เองจึงทำให้คุณยาสุดะมองเห็นเส้นทางทำกำไร และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ดองกี้เปิดนานกว่าร้านอื่น ส่วนใหญ่ปิดช้ามาก อาจช้าได้ถึงตีสาม แต่หลายสาขาโดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยว เปิด 24 ชั่วโมง (ที่ญี่ปุ่นร้านทั่วไปประมาณ 2-3 ทุ่มก็เริ่มทยอยปิดกันแล้ว แม้แต่ร้านสะดวกซื้อสมัยก่อนก็ปิดกันตั้งแต่ห้าทุ่ม)
นอกจากนี้ด้วยความที่แต่ละสาขามีทำเลที่ดี มีอยู่ทั่วไปในโตเกียวและเวลาเปิดทำการก็ยาวกว่าร้านขายของอื่นๆจึงทำให้ร้านดองกี้ยิ่งเป็นที่ติดใจของลูกค้ามากขึ้น จึงไม่แปลกใจเลยว่าเพียงแค่ยอดขายเดือนมิถุนายนปี 2017 ที่ผ่านมา ร้านดองกี้สามารถทำยอดขายได้เป็นมูลค่าถึงประมาณ 828,800 ล้านเยน หรือถ้ามองในด้านกำไรต่อหุ้น (Earning per share) ในปีงบประมาณปี 2017 เพิ่มขึ้นไปแตะถึง 209.1 เยนเลยทีเดียว ถือว่าเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าร้านดองกี้กำลังมาแรงและเป็นร้านที่ครองใจทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเป็นอย่างมากในขณะนี้
ร้านดองกี้ (Don Quijote) ขายอะไร
ร้านดองกี้ขายอะไร?? คำตอบนั้นต้องบอกเลยว่าตอบยาก เพราะว่ามีหมดแทบทุกอย่างที่เหล่านักช้อปไม่ว่าจะชาวญี่ปุ่นเองหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเราๆต้องการ ตัวอย่างสินค้าที่ขายร้านดองกี้ใหญ่ๆโดยทั่วไปโดยแบ่งตามชั้นดังนี้
ตัวอย่างการวางแผนร้านของดองกี้
ชั้น B1 อาหาร ขนม เครื่องดื่ม เหล้า สุรา
ชั้น 1 เครื่องสำอาง สินค้าตามฤดูกาลต่างๆ
ชั้น 2 ของใช้ในชีวิตประจำวัน และอุปกรณ์กีฬา
ชั้น 3 สินค้าแฟชั่น เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า
ชั้น 4 เครื่องนอน เฟอร์นิเจอร์
ชั้น 5 เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องเขียน จักรยาน
ชั้น 6 ของเล่นและอื่นๆ
จะเห็นได้ว่าภายในร้านก็ครอบคลุมของหลายประเภท แถมจัดวางดีมากๆ ของที่ขายง่ายราคาถูกอยู่ชั้นล่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า ส่วนของชิ้นใหญ่ราคาแพง ที่จำนวนคนแวะชมน้อย ก็เอาไปซ่อนไว้ชั้นบนๆ เรียกว่าถ้ามองจากหน้าร้านชั้นหนึ่ง ยังไงก็จะมีคนเต็มไปหมด
แถมประเภทสินค้ายังเยอะมากมาย ไม่แปลกใจเลยที่จะเห็นนักท่องเที่ยวเป็นต้องแวะอยู่ในร้านดองกี้อยู่นานสองนาน เพราะจะซื้อเครื่องสำอาง ของเล่น หรือซื้อของฝาก ที่ดองกี้ก็มีให้หมด มาที่เดียวมีครบตามลิสต์ที่ต้องการ แถมราคายังน่ารักถูกอกถูกใจเหล่านักช้อปอีกด้วย
(สินค้าแต่ละชั้นอาจแตกต่างกันตามสาขา)
ร้านดองกี้ (Don Quijote) มีอยู่ที่ไหนบ้าง
ร้านดองกี้มีอยู่ทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตอนนี้ (ปี 2017) เพียงร้านในประเทศญี่ปุ่นก็มีทั้งหมดถึง 360 ร้าน แล้วยังมีร้านที่ประเทศสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และกำลังจะเปิดในประเทศไทยในอีกไม่ช้านี้อีกด้วย และทางร้านดองกี้ก็ตั้งเป้าว่าในปี 2020 จะขยายสาขาให้ได้ทั้งหมด 500 สาขาในญี่ปุ่น อีกด้วย
หากใครเที่ยวเมืองใหญ่อย่างโตเกียวโอซาก้านั้น แทบไม่ต้องห่วง ร้านดองกี้นั้นมีอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวใหญ่ๆมากมาย อย่างที่โตเกียวก็จะมีสาขาชินจูกุ (เพียงแค่แถบชินจูกุก็มีถึง 4 ร้านแล้ว) ชิบุยะ อิเคะบุคุโระ ที่โอซาก้าก็มีที่นัมบะถึงสามร้านเป็นต้น โดยแต่ละที่ก็มักอยู่ใกล้รถไฟฟ้า เดินทางสะดวกสุดๆ อยากช้อปอะไรจัดไปเลย
เอกลักษณ์พิเศษของร้านดองกี้
ว่ากันว่าใน 1 วันร้านดองกี้บางร้านสามารถขายได้ถึง 11 ล้านเยน หรือประมาณ 3.5 ล้านบาทเลยทีเดียว เคล็ดลับความสำเร็จที่สามารถสังเกตได้หลักๆ ดังนี้
1. เวลาเปิด-ปิดบริการ
จุดเด่นของร้านดองกี้คือเวลาเปิดปิดของร้าน เพราะมองเห็นความต้องการของลูกค้าว่ามีเหล่าพนักงานบริษัทที่กลับบ้านดึก ต้องมาจับจ่ายใช้สอยตอนดึกๆ เวลาเปิดปิดของร้านจึงช้ากว่าร้านขายของทั่วไป เช่น บางร้านเปิดถึงเที่ยงคืน หรือเปิดถึงตีสาม หรือบางร้านก็เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว แถมบางสาขายังมีที่จอดรถอำนวยความสะดวกกับลูกค้าที่ต้องการซื้อของมากๆอีก และที่สำคัญส่วนมากแล้วร้านดองกี้มักมีทำเลตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟ และสาวๆหลายคนถูกใจร้านนี้เพราะแม้จะเป็นตอนกลางคืน ก็ไม่รู้สึกเปลี่ยว เข้ามาดู เข้ามาช้อปได้ไม่มีพนักงานมากดดันเหมือนกับในร้านขายของทั่วไป เลือกของได้ตามใจชอบแม้จะดึกแค่ไหนก็ไม่เปลี่ยวและสบายใจ ทั้งหมดนี้ยิ่งตอบโจทย์ความสะดวก(และความสบายใจในการซื้อของ)ของลูกค้าเป็นที่สุด
2. เทคนิคเด็ดๆ เอาใจลูกค้า
หนึ่งในทีเด็ดของดองกี้คือเวลาคิดเงิน หลายคนคงเบื่อกับการหาเศษเหรียญในกระเป๋าตังค์ ดังนั้นที่ร้านดองกี้ก็จัดเศษเหรียญ 1 เยนไว้บริเวณที่คิดเงินเลย หากซื้อตั้งแต่ 1000 เยนขึ้นไปสามารถหยิบเหรียญ 1 เยนได้มากสุดถึง 4 เหรียญไปเลยฟรีๆ ให้พอดีกับเศษ (เช่นสมมุติถ้าของราคา 1904 เยน แล้วเราจ่ายไปสองพันเยน ก็หยิบเหรียญมาเพิ่มสี่่เยน รวมเป็น 2004 เงินทอนจาก 96 เยนก็จะได้เป็นร้อยเยนพอดี) เทคนิคนี้ถือว่าวินวินกันทั้งสองฝ่าย เพราะลูกค้าก็ไม่ต้องหงุดหงิดควานหาเหรียญในกระเป๋า และทางร้านเองก็ได้คิดเงินเร็วขึ้น กระตุ้นการขายมากขึ้น แฮปปี้กันทั้งสองฝ่าย
3. เพลงประจำร้านสนุกสนานติดหูและมาสคอตแสนน่ารัก
เชื่อว่าหลายคนที่เคยไปช้อปปิ้งที่ร้านดองกี้นั้นต้องเคยได้ยินเพลงประจำร้านทำนองสนุกสนาน ฟังง่าย จนลูกค้าหลายคนเป็นต้องติดหู และนอกจากนี้ยังมีมาสคอตสุดน่ารักที่หลายคนคุ้นตานั่นคือ เจ้าเพนกวินสีฟ้าชื่อว่า Donpen (ドンペン) สุดน่ารัก มีลูกค้าเคยลงความเห็นว่าเข้าร้านดองกี้เหมือนมาสวนสนุก เพราะสนุกสนานกับบรรยากาศการช้อปปิ้ง เปิดเพลงคึกคักชวนให้บรรยากาศสนุกสนาน ช้อปเพลินขึ้นไปอีก ที่สำคัญการมีมาสคอตนั้นก็ช่วยให้ร้านมีเอกลักษณ์ จำง่าย สามารถยกระดับร้านตัวเองให้แตกต่างจากร้านค้าอื่นๆ นับพันนับหมื่นร้านได้
ลูกเล่นแปลกๆ ของดองกี้แต่ละสาขา
แต่ละสาขาของดองกี้ ก็มีลักษณะเด่นแตกต่างกัน เพราะทางสำนักงานใหญ่ให้โอกาสผู้จัดการร้านแต่ละสาขาในการจัดสินค้าให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด เช่น ร้านดองกี้สาขาชินจูกุที่ถือว่าเป็นสาขาที่ชาวต่างชาติเยอะ ในชั้น1 หน้าร้านก็จะมีของที่ชาวต่างชาติซื้อกลับไปเป็นของฝาก เช่นชุดคอสเพลย์สไตล์ญี่ปุ่นตลกๆ หรือเครื่องสำอางที่กำลังได้รับความนิยมเป็นต้น
บางสาขาที่พิเศษมากๆของร้านดองกี้ก็จะมีเอกลักษณ์แปลกๆที่หาที่อื่นไม่ได้
เช่นที่ชั้น 8 ของสาขาอากิฮาบาระ ที่ถือเป็นย่านการ์ตูนและไอดอล ก็มีเวทีของนักร้องวง AKB48 ร้านขายสินค้าและของที่ระลึกของวง AKB48 โดยเฉพาะ ใครเป็นเหล่าแฟนคลับนักรัองไอดอลสุดน่ารักวงนี้อย่าพลาดไปเที่ยวชมที่สาขานี้
ส่วนที่สาขาในแหล่งช้อปปิ้งดัง อย่างกินซ่าหรือชินจูกุ ที่เป็นแหล่งช้อปปิ้งของผู้ที่ชื่นชอบสินค้าแบรนด์เนม ที่ร้านดองกี้ก็จะมีโซนสินค้าแบรนด์เนม ทั้งแบบมือ 1 และมือ2 เรียกว่าใครตาดี ได้ของถูกใจราคาคุ้มค่าไปแน่นอน
ส่วนที่สาขาโดทงโบริในโอซาก้า เมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องการทำอะไรเว่อร์ๆนั้น มีชิงช้าสวรรค์!
นอกจากนี้ ยังมีร้านแบบที่เรียกว่า เมก้าดองกิโฮเต้ (MEGA Don Quijote) ที่เน้นเอาใจลูกค้าที่มากันเป็นครอบครัว เพราะตอบโจทย์ความต้องการของทุกคน ไม่ว่าจะซื้อของกินเล่นทั่วไป เครื่องสำอาง อุปกรณ์ไฟฟ้า จักรยาน หรือแม้กระทั่งของสด ที่เมก้าดองกิโฮเต้ ก็มีครบทุกอย่าง แถมจุดเด่นก็คือมีที่จอดรถรองรับสำหรับการช้อปปิ้งอย่างจุใจของทุกคนในครอบครัว
สรุป
เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับความไม่ธรรมดาของร้านดองกี้ที่ทำให้ครองใจใครหลายคน เรียกว่าอยากได้อะไร ดองกี้ก็มีให้หมด ใครมีโอกาสมาญี่ปุ่นก็อย่าลืมแวะมาละลายทรัพย์กันได้ที่ร้านดองกี้หรือใครกำลังค้าขายก็มาลองดูไอเดียทางธุรกิจที่น่าสนใจกันได้ที่ร้านดองกี้ดูนะคะ