เมื่อฉันมานั่งชมซากุระริมแม่น้ำ "เมกุโระ"
1. เริ่มจากดื่มเหล้าซากุระก่อนเลย!
ชาวญี่ปุ่นนั้นชื่นชอบเหลือเกิน กับการมานั่งดื่มท่ามกลางดอกไม้ที่บานสะพรั่ง และหากเราอยากจะเข้าใจความรู้สึกของคนญี่ปุ่นแล้วละก็ จะมีอะไรที่ดีไปกว่าการลองทำตาม ไม่ว่าจะเป็น มาร์ตินี่ แชมเปญ เบียร์ซากุระ หรือโชจู ก็มีให้เลือกดื่ม
และแน่นอนว่า ไม่จำเป็นต้องรีบดื่มให้หมดก็ได้ หลายๆร้านจะมีแก้วแบบใช้แล้วทิ้งให้เราสามารถถือและเดินไปดื่มไปได้ด้วย ซึ่งร้านที่ขายเครื่องดื่มในรูปแบบนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย หากใครอยากลองมีประสบการณ์แบบนี้ละก็ อย่าลืมเตรียมเงินซักประมาณ500เยนไว้ต่อแก้วนะ
นอกจากนี้ ถึงแม้ปกติคนญี่ปุ่นจะไม่ค่อยนิยมชมชอบการเดินกินหรือดื่มเท่าไรนัก แต่ระหว่างเทศกาลหลายๆอย่าง ก็มักจะยอมยกเว้นให้กันแบบไม่คิดมาก
2. ถ่ายรูปกันให้เต็มที่
เพราะร่วงโรยจึงสวยงาม หากซากุระบานต่อเนื่องตลอดปีจนเป็นเรื่องปกติแล้วละก็ มนุษย์เองก็คงไม่ให้ความสนใจกับมันขนาดนี้ เพราะเห็นว่ามันกลายเป็นเรื่องธรรมดา กลายเป็นของตายนั่นเอง หนี่งในเหตุผลที่คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญกับการชมดอกไม้ก็เพราะว่า ดอกไม้นั้นเป็นอะไรที่ไม่ยั่งยืนนั่นเอง ความงามที่คงอยู่เพียงระยะสั้นๆ ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความพิเศษของมัน
แน่นอนว่า ในเมื่อสามารถดูได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ ผู้คนมากมายจึงต้องมาเบียดกันในช่วงเวลานั้นนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชาวต่างชาติอย่างพวกเรา นี่เป็นประสบการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตได้เลย เพราะฉะนั้น เรามาถ่ายรูปกันดีกว่า
ไม่มีอะไรที่ต้องแนะนำเป็นพิเศษ กลางวันก็สวย กลางคืนก็มีไฟ ทุกๆคนถ่ายด้วยกล้องและเทคนิคที่ชื่นชอบได้เลย
ยกเว้นตรงสะพานที่เราควรจะใช้ความระวังซักเล็กน้อย เพราะเป็นจุดยอดนิยมในการถ่ายรูป มีคนมากมายที่ทั้งมาเซลฟี่ มาถ่ายรูปแบบตั้งใจด้วยกล้องDSLR หรือแม้แต่บางคนที่มาพร้อมขาตั้งกล้องขนาดใหญ๋ ไม่ว่าจะมีคนมากหรือน้อยก็อยากให้ทุกคนแบ่งปันกัน และค่อยๆผลัดกันเข้าไปถ่ายโดยพยายามไม่เบียดคนอื่นและระวังขาตั้งกล้องของคนอื่นด้วย
แต่เดิมทีนากาเมกุโระเป็นสถานที่ๆใกล้มากๆจากแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของโตเกียวอย่างย่านชิบุย่า ที่อยู่ใกล้จนสามารถเดินมาได้ ในช่วงฤดูของซากุระนั้น ใครที่ไปเที่ยวชิบุย่าอยู่แล้ว เราก็อยากจะแนะนำว่า ให้เดินไปดูนากะเมกุโระซักหน่อย เพราะใช้เวลาไม่มากและสามารถใส่ลงไปในแผนได้ไม่อย่างไม่ยากเย็นนัก
3. เดินชิมอาหารริมถนนที่มีขายแค่ช่วงเทศกาลเท่านั้น!
ต่างจากเมืองไทย ร้านอาหารข้างทางนั้นมักจะไม่มีการเปิดเป็นการถาวรในญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นได้ว่าเพราะคนญี่ปุ่นไม่นิยมเดินกิน และอีกส่วนหนึ่งก็คือการไม่อนุญาติให้ขายของริมทางเท้าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
แต่ในช่วงเทศกาลนั้นเป็นข้อยกเว้น ญี่ปุ่นเองก็มีซุ้ม รถเข็น ร้านขายอาหารริมทางเช่นกัน และที่นากาเมกุโระแห่งนี้ นอกจากอาหารญี่ปุ่นแท้ๆ ที่นิยมทำขายกันในช่วงเทศกาลอย่างยากิโซบะ ทาโกยากิ หรือไก่ย่างยากิโทริแล้ว ก็ยังมีร้านอีกไม่น้อยเลยที่เลือกขายอาหารว่างสไตล์ต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเคบับ ไส้กรอกย่างสไตล์ยุโรป ฮอทดอก บะหมี่แบบจีน และอื่นๆ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากอาหารญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากทุกอย่างล้วนน่าสนใจ และหลายอย่างหากินไม่ได้ตามร้านอาหารหรือซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป บวกกับบรรยกาศที่ครึกครื้นและสนุกสนาน ทำให้คงมีหลายคนเลยที่อยากจะซื้ออะไรกินบ้าง ซึ่งราคานั้นก็ไม่ถูก เพราะแม้แต่อาหารง่ายๆ อย่างไส้กรอกหนึ่งไม้ หรือของทอดในถ้วยกระดาษเล็กๆหนึ่งถ้วย ก็อาจราคาสูงถึง 500เยนต่ออันเลยทีเดียว หากจะกินจนอิ่มละก็ หลายคนอาจต้องใช้มากถึงประมาณ 2000เยน! ซึ่งสำหรับบางคน ก็ถือว่าเป็นการแลกกับประสบการณ์ที่คุ้มค่า แต่สำหรับคนที่มีงบประมาณในการเที่ยวจำกัดแล้วละก็ ควรระมัดระวังการซื้ออาหารในงานเทศกาลแบบนี้ไว้เป็นยอดดี
4. ดิ่มด่ำกับซากุระที่ขาวฟูฟ่องราวกับก้อนเมฆ
เมื่อเทียบกับดอกไม้ยืนต้นอื่นๆเช่นบ๊วย(อุเมะ) ที่มีสีชมพูสดและสวยงามไม่แพ้กัน ซากุระที่นากาเมกุโระนั้นมีสีออกขาวมากกว่า นอกจากนี้แล้ว กลีบซากุระทั้งที่ยังอยู่บนต้น และกลีบซากุระอีกจำนวนไม่น้อยที่ร่วงโรยอยู่ตามพื้น ก็ยังดูพองฟู นุ่ม มีน้ำหนักมากกว่าอีกด้วย กลีบซากุระจำนวนมาก แม้แต่ที่ร่วงลงมากลบพื้นดินนั้น ดูสวยจนไม่อยากเหยียบเลยทีเดียว
5. สุดท้ายนี้ แวะมาชมสะพานแดงอันเลื่องชื่อ
สะพานสีแดงนี้ แต่เดิมที่ก็เป็นสะพานที่มีเอกลักษณ์พอสมควรประจำย่านชุมชนกลางป่าคอนกรีตแห่งนี้ แต่ราวกับต้องมนต์ สะพานนี้จะยิ่งสวยงามมากกว่าเดิมในช่วงที่ซากุระผลิบาน ซากุระสีขาวที่บานอยู่ริมแม่น้ำ โค้งต้นลงมาปกคลุมสะพานทั้งในฉากหน้าและฉากหลัง ช่วยเสริมกันให้ทั้งตัวสะพานและต้นซากุระดูเด่นเป็นอย่างมาก
หากเดินมาถึงตรงนี้ ก็ถือว่ามาได้จนสุดสายแล้ว หากหลงกับเพื่อน สะพานนี้ก็เป็นจุดนัดพบที่ดี หรือจะเดินเข้าคาเฟ่ที่อยู่ใกล้ๆ หาอะไรดื่มและนั่งโพสภาพลงในอินสตาแกรมก็ไม่เลว