ลูกท้อเป็นผลไม้ที่คนไทยหาทานไม่ได้ง่ายนัก เพราะว่าไม่มีปลูกในเมืองไทย และเก็บก็บไม่ได้นาน ช้ำง่าย แถมมีช่วงเวลาที่เก็บเกี่ยวเพียงเดือนเดียว จึงทำให้ลูกท้อจึงเป็นผลไม้ราคาแพง แต่ที่ญี่ปุ่นสามารถหาซื้อได้ง่ายทั่วๆ ไปเลย เห็นลูกท้อญี่ปุ่นหวานชุ่มฉ่ำขนาดนี้ แต่เอาเข้าจริงมีปริมาณน้ำตาลแค่ 15% เท่านั้น จัดว่าน้อยกว่าที่คิด

สาลี่ญี่ปุ่นจะมีผลใหญ่ รสชาติชุ่มฉ่ำ เนื้อร่วนและกรอบ กัดทีน้ำหวานๆ จากเนื้อสาลี่จะไหลลงมาที่คางเลยทีเดียว สาลี่ญี่ปุ่นมีมากมายหลายพันธุ์ แต่ที่มีชื่อมาก ๆ ได้แก่ พันธุ์ “Nijusseki” และ “Hosuyu” เห็นหวานๆ อย่างนี้ แต่ในเนื้อของสาลี่ญี่ปุ่นนั้น มีปริมาณน้ำตาลผสมอยู่แค่ 16% เท่านั้นเอง แต่ก็พอเพียงแล้วที่จะใช้เติมความหวานให้ร่างกายวันที่เหนื่อยล้า

แอปเปิ้ลญี่ปุ่นมีลากหลายพันธุ์มาก แต่ละพันธุ์ก็ให้ความหวานต่างกันไป บางพันธุ์ก็เปรี้ยวอมหวาน แต่ที่มีปริมาณน้ำตาลผสมอยู่มากที่สุดก็คือพันธุ์ Fuji ที่ฮิตมากๆ ในบ้านเรานี่เอง นักท่องเที่ยวมักจะเดินทางไปเก็บแอปเปิ้ลกันที่แถบ Tohoku และจังหวัด Nagano, Gunma และ Tochigi ว่ากันว่าแอปเปิ้ลแดงนั้นดีต่อสุขภาพ โดยเแพาะกับผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย และช่วยปรับระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น และที่สำคัญอร่อยอ้วนยาก!

ไม่อยากจะเชือว่าเมลอนหวานขนาดนี้แล้วยังอยู่แค่อันดับ 3 เมลอนญี่ปุ่นนั้นนอกจากจะเนื้อนุ่ม ละลายในปากได้แบบแทบไม่ต้องเคี้ยวแล้ว ยังมีน้ำชุ่มฉ่ำ และรสชาติหวานสดชื่น จนรู้สึกได้เลยว่าน้ำของเมลอนนั้น โดนผิวแล้วเหนียวยังกับน้ำเชื่อม โดยเฉพาะพันธุ์ที่หวานจัดๆ นั้นมันช่างหวานหอม และยิ่งบริเวณที่ใกล้ๆ กับเม็ดและแถวๆ แกนกลางนั้นยิ่งหวานหนัก หวานขนาดมีสีเข้มจากน้ำตาลธรรมชาติที่อยู่ภายในเนื้อเลย

เราอาจจะไม่คุ้นชื่อและหน้าตา Akebi เท่าไหร่ แต่ผลไม้นี้เป็นผลไม้พื้นเมืองของประเทศญี่ปุ่น มีมากในจังหวัด Yamagata เป็นผลไม้ที่มีความสวยงาม กับสีเปลือกสีม่วงสดใส เนื้อข้างในโปร่งแสงคล้ายเจลลี่ สีออกโทนขาว มีเมล็ดสีดำ คล้ายๆ กับเสาวรสบ้านเรา มีรสหวานอร่อย สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย และมีปริมาณน้ำตาลถึง 20% ซึ่งจัดว่าสูงมากๆ เลยล่ะ

องุ่นญี่ปุ่นหวานชนะเลิศ จนต้องจัดให้เป็นอันดับ 1 เลย เพราะมีปริมาณน้ำตาลอยู่ถึง 21% ว่ากันว่าองุ่นลูกที่อยู่ใกล้กับก้านหลักกับลูกที่อยู่ไกลออกไปนั้นจะมีปริมาณน้ำตาลต่างกันถึง 1.5 เท่าเลยทีเดียว ส่วนที่อยู่ติดกับก้านใหญ่นั้นจะหวานที่สุด และยิ่งห่างออกมาก็จะยิ่งหวานน้อยลง ฉะนั้นแนะนำให้กินตั้งแต่ด้านล่างเพื่อให้ลิ้นค่อยๆ รับความหวานที่เพิ่มขึ้น จะเป็นการกินที่สามารถซึมซับความอร่อยขององุ่นได้อย่างดีที่สุดไงล่ะ