4 เรื่องสยองขวัญเกี่ยวกับปราสาทในญี่ปุ่น
4. ปราสาท Hachioji (Hachioji จังหวัด Tokyo)
ในอดีตปราสาทแห่งนี้เคยเป็นสมรภูมินองเลือดของตระกูลโฮโจ ทหารนับพันคนเสียชีวิตลงณที่แห่งนี้ด้วยฝีมือของกองทัพที่นำโดย โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ
ตามตำนานเชื่อง่าเสียงปืนและเสียงกรีดร้องของเหล่าทหารผู้โชคร้ายยังดังก้องอยู่ในป่าแม้ว่าสงครามจะจบแล้วก็ตาม ชาวบ้านบริเวณนั้นเชื่อว่าพื้นที่บริเวณภูเขาฟุคาซาว่า หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ชิโรยาม่า" ยังเต็มไปด้วยวิญญาณของเหล่ามหารที่ตายในสงครามครั้งนั้น จึงมีประเพณีการเตรียม "อะซึกิเมชิ" หรือข้าวที่หุงกับถั่วแดง เนื่องจากมีสีเหมือนเลือด ในวันที่ 23 มิถุนายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่ปราสาทได้พังทลายลง
3. ปราสาท Maruoka (เมือง Sakai จังหวัด Fukui)
ปราสาท Maruoka เป็นปราสาทที่สร้างจากไม้ที่เก่าแก่ที่สุดของญ๊่ปุ่น และยังเป็นหนึ่งในร้อยจุดชมซากุระที่งดงามที่สุดของญี่ปุ่ที่งดน ที่มีต้นซากุระพันธุ์โยชิโนะกว่า 400 ต้น แม้ว่าในปัจจุบันจะเป็นสถานที่ที่งดงาม แต่ก็มีตำนานสยองขวัญเกี่ยวกับปราสาทแห่งนี้เช่นกัน
ในปีค.ศ. 1576 คัทสึโทโยะสร้างปราสาทหลังนี้ แต่ไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้งก้อนหินที่ก่อทำเป็นกำแพงก็จะถล่มลงมาเสียทุกครั้ง เห็นดังนั้นคัทสึโทโยะจึงสาวแม่ม่ายนาม โอชิซึ มาเป็นเครื่องบูชายัญ (เรียกว่าฮิโตะบาชิระ หรือเสามนุษย์) โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือให้ลูกชายของโอชิซึมาเป็นซามูไรรับใช้ เธอถูกฝังทั้งเป็นใต้เสาหลักของปราสาท หลังจากนั้นการก่อสร้างปราสาทก็เป็นไปอย่างราบรื่น
แต่ในตอนท้ายขุนนางคนนั้นถูกโยกย้ายไปและไม่ได้รักษาสัญญาที่ให้ไว้ ปราสาทหลังนี้จึงโดนน้ำท่วมทุกครั้งในช่วงหน้าฝนเดือนเมษายนของทุกปี ชาวบ้านบริเวณนั้นเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า "น้ำตาแห่งความโศกเศร้าของโอชิซึ" จึงมีการสร้างหลุมศพให้โอชิซึเพื่อคลายความโศกเศร้าของเธอ
2. ปราสาท Matsumoto (เมือง Matsumoto จังหวัด Nagano)
หนึ่งในปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่นหลังนี้ก็มีเรื่องเล่าสยองขวัญเช่นกัน
ชาวนาผู้มั่งคั่งคนหนึ่งนามว่าทาดะ คาสึเกะ ตามประวัติศาสตร์เล่าว่าเขาและชาวนาอีกจำนวนหนึ่งเป็นผู้ริเริ่มต่อต้านการขึ้นภาษีของผู้ครองแคว้น จนนำไปสู่จลาจล ในตอนท้าย เขาและชาวนาที่เป็นผู้นำคนอื่นๆก็ถูกจับตัวและนำไปประหารชีวิตในวันที่ 1 มกราคม 1687
แม้ว่าในหน้าประวัติศาสตร์จะจบลงเพียงเท่านี้แแต่ก็มีตำนานกล่าวขานต่อว่า ก่อนสิ้นลมหายใจคาสึเกะได้สาปแช่งตระกูลมิซึโนะซึ่งเป็นผู้ครองแคว้น Matsumoto ในขณะนั้น และเชื่อว่าการที่ตระกูลมิซึโนะต้องลงจากอำนาจในปี 1725 ก็เป็นผลมาจากคำสาปแช่งจองคาสึเกะนั่นเอง
ทาสึเกะกลายเป็นที่รู้จักในฐานะ "กิมิน" หรือ ผู้เสียสละเพื่อส่วนรวม หลังจากที่ตระกูลมิซึโนะหมดอำนาจลงก็ยังได้สร้างรูปปั้นขอขมาเพื่อให้วิญญาณของทาสึเกะไปสู่สงบสุข และต่อมาเมื่อมีความเคลื่อนไหวทางด้านสิทธิมนุษยชนในช่วงปี 1870-1880 รูปปั้นนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์บูชาของศาลเจ้า Jokyo Gimin-sha เพื่อให้เกียรติผู้ที่เสียชีวิตในการจลาจลครั้งดังกล่าว
นอกจากนี้ในปลายยุคเมจิ (1868-1912) ตัวปราสาท Matsumoto เกิดเอนไปข้างหนึ่ง ซึ่งผู้คนต่างก็เชื่อว่าเกิดจากคำสาปของทาสึเกะ และได้รับการบูรณะจนกลายเป็นปราสาทที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
1. ปราสาท Himeji ( เมือง Himeji จังหวัด Hyogo)
ปราสาท Himeji เป็นอีกหนึ่งปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการบันทึกให้เป็นมรดกโลก เรื่องเล่าสยองขวัญเกี่ยววกับบ่อน้ำของปราสาทหลังนี้เป็นหนึ่งในเรื่องสยองขวัญที่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนญี่ปุ่น
เรื่องราวอันน่าเศร้าของ โอคิคุ สาวใช้ผู้โชคร้าย เป็นเรื่องราวที่โด่งดังมากขนาดที่ว่าบ่อน้ำที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงในญี่ปุ่นทุกแห่งจะมีตำนานที่ใกล้เคียงกับเรื่องของโอคิคุในเวอร์ชั่นของตัวเอง และยังเป็นตำนานที่ถูกนำไปใช้ในการแสดงละครคาบุกิ และ บุนระกุอีกด้วย
เมื่อขุนนางอาซายามะ เท็ตสึซันวางแผนลอบสังหารทายาทของผู้ครองปราสาทสาท เขาจึงไปล่อลวงให้โอคิคุร่วมมือกับแผนการดังกล่าว แแต่โอคิคุปฏิเสธ เท็ตสึซันจึงใส่ร้ายเธอโดยกล่าวหาว่าเธอเป็นคนขโมย 1 ใน 10 จานใบโปรดของผู้ครองปราสาท และสัญญาว่าจะช่วยให้เธอหลุดพ้นจากข้อกล่าวหานี้หากเธอยอมให้ความร่วมมือ แต่โอคิคุก็ปฏิเสธอีกครั้ง เท็ตสึซันจึงมัดเธอไว้ที่บ่อน้ำและทรมาณร่างกาย ก่อนที่จะฆ่าหล่อนทิ้งและโยนร่างไร้วิญญาณลงไปยังในบ่อน้ำ ในปัจจุบันบ่อน้ำที่ปราสาท Himeji ถูกเรียกว่า "Okiku-ido"หรือ "บ่อน้ำโอคิคุ"