อัพเดทปี 2023! 10 ที่เที่ยวเด่น เดือนเมษายน ในฮอกไกโด
เดือนเมษายนของญี่ปุ่นคือช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิซึ่งถือเป็นฤดูกาลที่อากาศเย็นสบาย ไม่หนาวจนเกินไป ทิวทัศนธรรมชาติเต็มไปด้วยสีสันของต้นไม้ดอกไม้และมีกิจกรรมการท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบที่น่าสนใจในทุกพื้นที่ อย่างเช่นที่ฮอกไกโด (Hokkaido) หากใครกำลังวางแผนจะไปฮอกไกโดเดือนเมษายน ครั้งนี้ก็มีที่เที่ยวมาแนะนำดังนี้
※ หมายเหตุ บทความนี้ได้ทำการเรียบเรียงใหม่ (Re-write) ณ วันที่ 27 มีนาคม 2023
1. กินมิโสะราเม็งสูตรดั้งเดิมของฮอกไกโดที่ตรอกราเม็งซัปโปโร (Sapporo Ramen Yokocho)
ฮอกไกโด (Hokkaido) มีชื่อเสียงเรื่องอาหารอร่อยในทุกฤดูกาล หนึ่งในนั้นก็คือเมนูมิโสะราเม็งสูตรดั้งเดิมที่ตรอกราเม็งซัปโปโร (Sapporo Ramen Yokocho) หากวางแผนเที่ยวซัปโปโรในช่วงเดือนเมษายนนี้ก็ไม่ควรพลาดแวะไปที่ตรอกราเม็งซัปโปโร ย่านซูซุกิโนะ (Susukino) ซึ่งเป็นย่านความบันเทิงและกินดื่มยอดนิยม
โดยตรอกแห่งนี้เป็นแหล่งรวมร้านราเม็งหลากหลายรูปแบบ ปัจจุบันมีร้านราเม็งอยู่ทั้งหมด 17 ร้าน ใครที่เลือกไม่ถูกว่าจะกินราเม็งรูปแบบไหนดี ขอแนะนำ “มิโสะราเม็ง” ที่แม้หลายคนอาจจะคุ้นเคย แต่ก็อาจจะไม่รู้มาก่อนว่าราเม็งชนิดนี้มีต้นกำเนิดจากฮอกไกโดนี่เอง ส่วนใครที่กังวลเรื่องกำแพงภาษาก็สบายใจได้เพราะที่นี่คุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวเป็นย่างดี แทบทุกร้านมีรูปราเม็งให้ดูเป็นตัวอย่างและมีป้ายภาษาอังกฤษ แถมหลายๆ ร้านมีตู้ซื้อคูปองแบบอัตโนมัติพร้อมรูปเมนูให้บริการด้วย
เวลาเปิดให้บริการ: เวลาเปิดทำการของร้านส่วนใหญ่คือ 12.00 – 24.00 น. (หมายเหตุ เวลาทำการข้างต้นเป็นเวลาทำการในช่วงเวลาปกติ)
การเดินทาง: รถไฟใต้ดินสถานี Susukino ออกประตูหมายเลข 5 แล้วเดินต่ออีก 3 นาที
2. เที่ยวกำแพงหิมะแห่งฮอกไกโดที่เมืองชิเรโตโกะ (Shiretoko Snow Wall Walk)
ถ้านึกถึงกำแพงหิมะ หลายคนมักจะนึกถึงกำแพงหิมะในจังหวัดโทยามะ (Toyama) เป็นอันดับแรก ซึ่งนอกจากที่นั่นแล้ว ยังมีกำแพงหิมะในฮอกไกโดที่ให้บรรยากาศคล้ายๆ กันอยู่ที่บริเวณรอยต่อของเมืองชาริ (Shari) และเมืองราอุสุ (Rausu) ซึ่งเป็นเมืองริมชายฝั่งทะเลทางตะวันออกของฮอกไกโด ระหว่างการเที่ยวกำแพงหิมะที่นี่ก็จะได้สัมผัสทั้งวิวสวยๆ ของภูเขาหิมะในเขตอุทยานแห่งชาติชิเรโตโกะ (Shiretoko National Park) และวิวของท้องทะเลไปพร้อมๆ กัน
แต่กำแพงหิมะที่นี่ไม่ได้เปิดให้เที่ยวเป็นหลายๆ เดือนเหมือนกับที่โทยามะ โดยจะเปิดให้เที่ยวได้แค่เพียง 1 วันเท่านั้นในช่วงกลางเดือนเมษายนโดยประมาณ และยังต้องจองตั๋วค่าเข้าล่วงหน้าหรือวิธีที่สะดวกที่สุดก็คือจองไปพร้อมกับทัวร์ อาจจะเป็นสถานที่เที่ยวที่เข้าถึงค่อนข้างยากแต่ในอีกมุมก็ถือเป็นประสบการณ์พิเศษที่จะได้สัมผัสเพียงปีละครั้งเท่านั้น
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 2,500 เยน เด็ก/นักเรียน 1,000 เยน (ต้องจองล่วงหน้า)
เวลาเปิดให้บริการ: ประมาณกลางเดือนเมษายนของทุกปี
การเดินทาง: วิธีที่สะดวกที่สุดคือเช่ารถขับหรือซื้อทัวร์ล่วงหน้า
- th.visit-eastern-hokkaido.jp (ภาษาไทย)
3. สัมผัสวิวดอกซากุระสุดอลังการที่ป้อมโกเรียวคาคุ (Goryokaku)
หากต้องการไปชมวิวซากุระที่ฮอกไกโด ก็มีสถานที่ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นจุดชมซากุระที่สวยมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ในฮอกไกโดคือป้อมโกเรียวคาคุ (Goryokaku) ตั้งอยู่ในเมืองฮาโกดาเตะ (Hakodate) ในอดีตที่นี่คือป้อมปราการสำคัญของเมืองที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานของชาวต่างชาติ และได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตั้งแต่ปี 1910 พร้อมกับมีการปลูกต้นซากุระเอาไว้ตลอดแนวคูน้ำของป้อมปราการกว่า 1,600 ต้น
เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ที่ป้อมโกเรียวคาคุแห่งนี้จะมีความสวยงามทั้งจากจุดที่เป็นป้อมปราการทรงดาวห้าแฉก และที่ไม่ควรพลาดก็คือการขึ้นไปบนหอคอยชมวิวเพื่อชมภาพมุมสูงสุดตระการตาของดอกซากุระบานสะพรั่งพร้อมกันจนเป็นรูปดาวห้าแฉกสีชมพูอีกทั้งตอนกลางคืนก็ยังมีการประดับแสงไฟเพื่อสร้างความสวยงามในบรรยากาศอีกแบบหนึ่งอีกด้วย
ค่าเข้าชม: สวนเข้าฟรี หอคอยมีค่าเข้า 840 เยน
เวลาเปิดให้บริการ: 09.00 – 18.00 น. (หมายเหตุ เวลาทำการข้างต้นเป็นเวลาทำการในช่วงเวลาปกติ)
การเดินทาง: รถราง Hakodate Tram สถานี Goryokaku Koen Mae แล้วเดินต่ออีก 10 นาที
4. เดินเล่นพักผ่อนที่สวนสาธารณะใจกลางเมืองซับโปโรกับสวนโอโดริ (Odori Park)
สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park) เป็นสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซัปโปโร (Sapporo) ซึ่งสามารถเที่ยวชมได้ทุกฤดูกาลโดยจะได้พบบรรยากาศที่แตกต่างกันไป สำหรับฤดูใบไม้ผลิเดือนเมษายนที่นี่ก็เป็นจุดชมซากุระอีกแห่งที่มีทิวทัศน์งดงามตระการตา มีผู้คนเดินทางมาชมซากุระจำนวนมากในแต่ละปี
อีกทั้งในพื้นที่สวนก็มีสิ่งที่น่าสนใจ อาทิ น้ำพุและรูปปั้นประติมากรรมต่างๆ ใกล้ๆ สวนโอโดริก็จะเป็น Sapporo TV Tower ตั้งอยู่ โดยจำลองแบบมาก จาก Tokyo Tower ห่างออกไปไม่ไกลก็จะพบกับหอนาฬิกาประจำเมืองที่เป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ของเมืองซัปโปโร ตัวอาคารสร้างขึ้นด้วยไม้ในสไตล์ตะวันตกตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1878 ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวของเมืองตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดให้บริการ: เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: จากสถานีรถไฟ JR Sapporo เดิน 15 นาที
5. ชมซากุระเดือนเมษายนที่สวนนากาจิมะ (Nakajima Park)
อีกหนึ่งจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงของซัปโปโรในฤดูใบไม้ผลิก็คือสวนนากาจิมะ (Nakajima Park) ในแต่ละปีเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิที่สวนแห่งนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่เดินทางมาเที่ยวชมทุ่งดอกซากุระขนาดใหญ่ซึ่งจะพร้อมใจกันออกดอกสีชมพูอมขาวบานสะพรั่งงดงามเต็มพื้นที่สวน เป็นช่วงที่งดงามสำหรับการชมสวนดอกไม้รวมถึงใครที่ชอบถ่ายภาพก็มีจุดถ่ายภาพสวยๆ เป็นที่ระลึกหลายจุด
นอกจากนี้ยังมีวิวต้นไม้ดอกไม้อื่นๆ ให้ได้ชมด้วย อาทิ ต้นสนสีแดงของญี่ปุ่น ต้นยูจิโกะโกะ ต้นเอล์มญี่ปุ่น เป็นต้น โดยในช่วงฤดูใบไม้ผลิน้ำในลำคลองซึ่งเคยจับตัวจนเป็นน้ำแข็งก็จะละลายเผยให้เห็นสายน้ำไส ๆ อีกครั้ง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือชมทิวทัศน์ในบริเวณนี้ไปรอบๆ ในราคาไม่แพงมากเกินไปได้อีกด้วย
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดให้บริการ: ตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: จากสถานี Nakajima Koen ออกทางออก 3 และเดินประมาณ 5 นาที
6. ชมซากุระคู่กับปราสาทหนึ่งเดียวในฮอกไกโดที่เมืองมัตสึมาเอะ (Matsumae Castle)
ฮอกไกโดมีปราสาทและเมืองประวัติศาสตร์ชื่อเมืองมัตสึมาเอะ (Matsumae) ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของเกาะฮอกไกโด โดยปราสาทแห่งนี้ถือเป็นปราสาทเพียงแห่งเดียวในฮอกไกโด และภายในเมืองก็ยังมีร่องรอยของประวัติศาสตร์และความรุ่งเรืองในอดีตหลงเหลืออยู่ ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมที่นี่จะเต็มไปด้วยทิวทัศน์ของซากุระกว่า 10,000 ต้น มากกว่า 250 สายพันธุ์ที่ปลูกอยู่รอบปราสาทผลิดอกบานสวยงามอย่างที่พลาดชมไม่ได้เลยทีเดียว
ที่นี่ถือได้ว่าเป็นจุดที่สามารถแวะมาชมดอกซากุระได้นานถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ พร้อมกับวิวสุดพิเศษก็คือภาพของดอกซากุระที่ผลิบานคู่กับตัวปราสาทมัตสึเอะ รวมถึงมีการจัดเทศกาลชมดอกซากุระตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน ซึ่งไม่ได้มีเพียงการออกร้านขายของเท่านั้น แต่ยังมีการแสดงแบบโบราณหลากหลายรูปแบบให้ชมกันอีกด้วย
ค่าเข้าชม: สวนสาธารณะเข้าฟรี ปราสาทมีค่าเข้า 360 เยน
เวลาเปิดให้บริการ: ตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: สถานี Kikonai ต่อรถบัส Hakodate bus ลงที่ป้าย Matsushiro
7. ชิมเนื้อปูในช่วงเวลาที่อร่อยที่สุด ณ ตลาดปลานิโจ (Nijo Fish Market)
เดือนเมษายนหรือฤดูใบไม้ผลิไม่ได้มีเพียงความสวยงามของธรรมชาติเท่านั้น แต่ในด้านอาหารการกิน ช่วงเดือนนี้ยังถือเป็นช่วงเวลาที่ปูหลากหลายชนิดมีรสชาติดีและหาทานได้ง่ายที่สุดด้วย เช่น ปูยักษ์ หรือปูหิมะ และจุดที่จะหาซื้อปูรวมถึงลองชิมเนื้อปูแสนอร่อยได้อย่างสะดวกสบายและมีราคาถูกที่สุดก็คือตลาดปลานิโจ (Nijo Market)
ตลาดปลาเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าร้อยปี เป็นตลาดที่ไม่ใหญ่มาก มีอาคารยาวหลังคาสีฟ้าเขียวลายตารางเป็นเอกลักษณ์ สามารถเดินเลือกซื้ออาหารทะเลสด ไม่ว่าจะเป็น ปลาแซลมอนสด ไข่ปลา ปู เม่นทะเล อาหารทะเลต่างๆ หรือเลือกรับประทานอาหารอร่อยๆ ได้อย่างหลากหลายกับร้านอาหารที่คอยเสิร์ฟเมนูประเภท ชูชิ ซาชิมิ และข้าวหน้าต่างๆ
เวลาเปิดให้บริการ: ตัวตลาด 07:00 น.-18:00 น. ย่านร้านอาหาร 6:00 น.-21:00 น. (หมายเหตุ เวลาทำการข้างต้นเป็นเวลาทำการในช่วงเวลาปกติ)
การเดินทาง: รถไฟใต้ดินสถานี Odori เดินต่อ 5 นาที
8. สัมผัสธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่อุทยานแห่งชาติไดเซ็ทสึซัง (Daisetsuzan National Park)
อุทยานแห่งชาติไดเซ็ทสึซัง (Daisetsuzan National Park) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติของฮอกไกโดที่มีจุดท่องเที่ยวและทำกิจกรรมกลางแจ้งตลอดทั้งปีรวมทั้งเดือนเมษายนซึ่งแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานยังคงมีบรรยากาศของฤดูหนาวที่หลงเหลืออยู่แต่ในขณะเดียวกันพืชพรรณของฤดูใบไม้ผลิก็เริ่มผลิบานให้ได้สัมผัสความสดใส
โดยมีจุดท่องเที่ยวท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เช่น บริเวณไหล่เขาอาซาฮิดาเกะ (Mt.Asahidake) เป็นจุดเดินป่าหรือเทรกกิ้ง (Trekking) ยอดนิยม สระน้ำสุงาตะมิโนะอิเคะ (Sugatami-no-Ike Pond) ซึ่งเกิดจากน้ำที่เอ่อขังอยู่บริเวณซากภูเขาไฟสระน้ำชิรากาเนะ อาโออิอิเคะ (Shiragane-Aoi-Ike Pond) หรือที่รู้จักกันในชื่อ สระสีฟ้า (Blue Pond) เกิดจาการที่น้ำส่องประกายระยับเป็นสีฟ้าสวยงามในและพลาดไม่ได้กับการขึ้นกระเช้าอาซาฮิดาเกะโรปเวย์ (Asahidake Ropeway) ที่เชื่อมจากสถานีอาซาฮิดาเกะ ซันโระคุ (Asahidake Sanroku) ขึ้นไปยังสถานีซุงะตะมิ (Sugatami) บนความสูง 1,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ค่าบริการ: มีค่าโดยสารกระเช้าไฟฟ้า
เวลาเปิดให้บริการ: เวลาทำการกระเช้าไฟฟ้า 09.00 น.-17.00 น.
การเดินทาง: จากสถานี Asahikawa นั่งรถบัสสาย Ideyu ไปลงที่ป้าย Asahidake(Ropeway Sanroku Eki-mae) ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที แล้วนั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นสู่ยอดเขาอีกราว 10 นาที
9. แช่ออนเซ็นเก่าแก่ในฮอกไกโดที่โนโบริเบ็ทสึออนเซ็น (Noboribetsu Onsen)
หนึ่งในกิจกรรมท่องเที่ยวยอดนิยมในฤดูใบไม้ผลิก็คือการแช่ออนเซ็น ที่ฮอกไกโดก็มีเมืองออนเซ็นน่าสนใจหลายแห่ง และโนโบริเบ็ทสึอนเซ็น (Noboribetsu Onsen) ก็ถือป็นแหล่งท่องเที่ยวออนเซ็นที่มีชื่อเสียงในหมู่คนญี่ปุ่น เพราะเป็นหมู่บ้านอนเซ็นที่มีน้ำแร่ผุดออกมามากถึง 9 ชนิดและยังเดินทางได้อย่างสะดวกโดยรถไฟหรือรถบัสจากตัวเมืองซัปโปโร (Sapporo) หรือจากสนามบินนิวชิโตเสะ (New Chitose Airport)
ที่นี่เหมาะกับการมาพักค้างแรมในเรียวกังและดื่มด่ำกับการแช่ออนเซ็น รวมทั้งยังมีจุดถ่ายรูปน้ำพุร้อนจิโกะคุดะนิ (Jigokudani) ที่มีจุดเด่นคือไอสีขาวพวยพุ่งออกจากก้อนหิน และโอยุนุมะ (Oyunuma) ที่มีน้ำแร่กำมะถันผุดออกมาด้วย
ค่าเข้าชม: มีค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับเรียวกังและโรงแรมแต่ละแห่ง
เวลาเปิดให้บริการ:ขึ้นอยู่กับสถานที่แต่ละแห่ง
การเดินทาง: จากสถานี Noboribetsu ขึ้นรถบัสไปลงที่ Noboribetsu Onsen ใช้เวลา 15นาที
10. เพลิดเพลินกับเทศกาลประดับธงปลาคาร์พที่โจซังเคออนเซ็น (Jozankei Onsen Keiryu Koinobori Festival)
โจซังเค (Josankei) คือชื่อของหุบเขาแสนสวยงามที่อยู่ห่างจากเมืองซัปโปโร (Sapporo City) ไปทางทิศตะวันตกเพียง 1 ชั่วโมง แม้หุบเขาโจซังเค (Jozankei Gorge) จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะจะมาเยือนที่สุดคือช่วงกลางเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงที่มีงานเทศกาลประดับธงปลาคาร์พที่โจซังเคออนเซ็น (Jozankei Onsen Keiryu Koinobori Festival)
บรรยากาศในช่วงเดือนนั้นนอกจากจะได้ผ่อนคลายกับการแช่ออนเซ็นแล้ว ยังมีซากุระพร้อมธงปลาคาร์พหลากสีสันให้ได้ชมกันอีกด้วย นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีตำนานของสิ่งมีชีวิตอย่าง คัปปะ (Kappa)ซึ่งเล่าขานกันเป็นวงกว้างในญี่ปุ่นมาตั้งแต่โบราณ จึงจะเห็นรูปปั้นคัปปะ” ได้ตามสถานที่ต่างๆ ในเมืองออนเซ็นแห่งนี้
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาเปิดให้บริการ: เทศกาลจัดในช่วงกลางเมษายนถึงพฤษภาคม
(ปีนี้เริ่มจัดตั้งแต่ 8 เมษายน 2023 -14 พฤษภาคม 2023)
การเดินทาง: จาก Sapporo Ekimae Bus Terminal โดยสารรถ Donan Bus ไปลงที่ป้าย Jozankei Yu no Machi
ผู้เขียน: ชินพงศ์ มุ่งศิริ
เริ่มต้นทำงานเป็นช่างภาพอิสระหลังเรียนจบ เดินทางไปถ่ายภาพที่ประเทศญี่ปุ่นบ่อยครั้งจนครบทั้ง 4 ฤดูอันสวยงาม และเกือบครบทุกภูมิภาค มีผลงานภาพถ่ายตีพิมพ์ในไกด์บุ๊คระดับโลกอย่าง Lonely Planet ถึง 3 เล่ม คือ Discovery Japan, Japan และ Kyoto รวมถึงเว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำอย่าง National Geographic Traveler UK, BBC Travel, Travel+Leisure, TIME และอีกมาก
นอกจากการถ่ายทอดความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นผ่านภาพถ่าย ปัจจุบันยังหันมาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านทางตัวอักษรทั้งในฐานะนักเขียนและนักแปลควบคู่กันไปอีกด้วย
เรียบเรียงใหม่: หนึ่ง
นักอ่านและนักเขียนที่ชอบการเดินทางไปในที่ต่างๆ โดยเฉพาะญี่ปุ่น รักการดูอนิเมะญี่ปุ่นเป็นชีวิตจิตใจ :)