All About Japan

ตามรอยนิยายสืบสวน"บิเบลีย"ที่คามาคุระ

จาริกแสวงบุญ
ตามรอยนิยายสืบสวน"บิเบลีย"ที่คามาคุระ

ครั้งนี้เราจะพาท่านไปยังคามาคุระ เมืองเล็กๆน่ารักที่ห่างจากโตเกียวไม่มาก เพื่อตามรอยนิยายสืบสวนสอบสวนเรื่อง Biblia Koshodou no Jiken Techou หรือ บิเบลียนั่นเอง

บิเบลีย บันทึกไขปริศนาแห่งร้านหนังสือ

บิเบลีย บันทึกไขปริศนาแห่งร้านหนังสือ

https://www.amazon.co.jp/dp/4048704699/

มาพูดกันถึงเรื่องนิยายกันสักนิดก่อน บิเบลียเป็นนิยายสืบสวนสอบสวนที่ตัวเอกของเรื่องทำงานในร้านขายหนังสือเก่า และสืบเรื่องราวต่างๆผ่านหนังสือมือสองที่ถูกขายมาที่ร้าน เป็นเรื่องราวของตัวเอกหญิงที่มีสมองอันชาญฉลาดแต่แสนจะขี้อายอย่าง ชิโนคาวะ ชิโอริโกะ กับ ตัวเอกชายโกระ ไดสึเกะ ที่ทำงานเป็นลูกจ้างในร้านหนังสือเก่าและต้องเข้าไปพัวพันกับปริศนาที่คุณชิโอริโกะตามสืบอย่างช่วยไม่ได้

ตัวนิยายโด่งดังในญี่ปุ่นจนมีประกาศทำเป็นภาพยนตร์ไปแล้ว ซึ่งมีกำหนดฉายในญี่ปุ่นวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 2018 นี้ นิยายเรื่องนี้ยังมีฉบับแปลไทยด้วยนะคะ ในชื่อ “บิเบลีย” กับสำนักพิมพ์อนิแม็ก และเรื่องราวในนิยายแนวสืบสวนสอบสวนเรืี่องนี้ทั้งหมดเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆที่ชื่อว่า คามาคุระ ของจังหวัด Kanagawa ค่ะ นั่นคือเป้าหมายของเราในวันนี้

ไปดูสถานที่จริงที่ตัวละครเคยเดินผ่านในเรื่องราวของพวกเขากันค่ะ ~

มาตามหาหน้ารองปกของฉบับนิยายทั้ง 7 เล่มกันค่ะ

ทริปง่ายๆนี้เริ่มเดินทางด้วยรถไฟสาย Yokosuka เที่ยวเช้าตรู่จากสถานีโตเกียวเลยค่ะ เป้าหมายคือ ตามหาหน้ารองปกของฉบับนิยายทั้ง 7 เล่ม ซึ่งนิยายชุดนี้จะมีความพิเศษอยู่ที่หน้ารองปกจะเป็นรูปสถานที่ในคามาคุระที่วาดตามภาพสถานที่จริงที่ตัวละครในเรื่องเคยไป เป็นจำนวนทั้งหมด 7 ภาพ เราจะไปตามเก็บภาพพวกนั้นกันค่ะ

ก่อนอื่นลงจากรถไฟสาย Yokosuka ที่สถานี Ofuna ผู้เขียนเปลี่ยนสายรถไปต่อ Shonan-Monorail เพื่อไปลงยังเป้าหมายแรก

ปกในของนิยายเล่มที่ 5

ปกในของนิยายเล่มที่ 5

ลงจากรถไฟก็จะพบกับฉากในเนื้อเรื่องทันทีค่ะ ฉากที่ตัวเอกของเรื่องมาเพื่อสืบคดี

แต่ถึงจะบอกว่าลงมาแล้วเจอเลยก็ตาม ถ้าอยากได้ภาพรถไฟสีแดงแบบในรูปก็ต้องรอกันหลายขบวนหน่อยค่ะ ถ้าโชคไม่ดี เพราะรถโมโนเรลสายนี้มีหลายสี ทั้ง ดำ เขียว ม่วง แดง ชมพู เมื่อได้ภาพที่พอใจแล้ว ผู้เขียนก็แวะฟาร์มสตรอเบอรี่แถวนั้น ซึ่งพอดีได้ค้นเอาไว้แล้วก่อนจะตัดสินใจมา จากนั้นก็จัดการจ่ายเงินเข้าไปกินบุฟเฟ่ต์สตรอเบอรี่เป็นข้าวเช้าค่ะ

ฟาร์มสตรอเบอรี่

ฟาร์มสตรอเบอรี่

*หมายเหตุ ช่วงที่ไปเป็นช่วงเมษา สตรอเบอรี่กำลังอร่อยเลย แต่ถ้ามาช่วงอื่น อาจจะข้ามจุดหมายนี้ไปก็ได้นะคะเพราะห่างกับสถานที่อื่นๆในเรื่องพอสมควรเลย ถึงแม้ Shonan-Monorail จะเป็นรถไฟสายที่น่านั่งมากก็ตาม

Enoshima

Enoshima

อิ่มหนำสำราญแล้วก็นั่งรถไฟกันต่อไปตามเส้น Shonan-Monorail จนไปสุดที่ทะเล Enoshima ตามที่บรรยายว่านางเอกนั่งไปกับคุณแม่ในเนื้อเรื่องเลยค่ะ มีผ่านอุโมงค์ด้วยนะ ตามคำบรรยายเป๊ะเลย

ไปจนถึง Enoshima แล้วก็ต้องมาแวะศาลเจ้าบนเกาะค่ะ ถึงจะเป็นทริปตามรอยก็มีแวะรายทางเหมือนเที่ยวทั่วไปบ้าง เราคำนวณเวลามาแล้ว~

ร้านข้าวเกรียบ

ร้านข้าวเกรียบ

ไหว้พระเสร็จกลับลงมาก็หาของว่างทาน ของกินขึ้นชื่อที่นี่คือ ข้าวเกรียบปลาหมึกกับข้าวเกรียบกุ้ง จุดเด่นคือเขาจะเอาหมึกทั้งตัวกับกุ้งทั้งตัวมาทับ ทำเป็นข้าวเกรียบกันให้สดๆให้เห็นกับตาเลยค่ะ สดใหม่ออกจากเตาแล้วทานได้ทันที

ปกในของนิยายเล่มที่ 6

ปกในของนิยายเล่มที่ 6

ภาพของ Enoshima จากชายฝั่ง ตามทางรถไฟ Enoden ก่อนอื่นก็เปลี่ยนสายรถไฟเป็นสาย Enoden แล้วลงที่สถานี Kamakura-koko-mae มาถ่ายภาพนี้ก่อน

ปกในของนิยายเล่มที่ 2

ปกในของนิยายเล่มที่ 2

จากนั้นเราก็ถอยกันไปอีกนิด ใกล้สถานี Shichirigahama มาถ่ายภาพนี้

Inamuragasaki

Inamuragasaki

ถอยไปอีกนิดที่ใกล้ๆ สถานี Inamuragasaki ภาพนี้เป็นฉากในเล่ม 2 ตอนที่เกี่ยวกับคดีหนังสือเก่าของ ฟุจิโกะ F ฟุจิโอะ (คนเขียนโดราเอมอน) ที่นางเอกให้พระเอกพาไปทะเล ที่สำคัญในเรื่องเป็นตอนกลางคืน คิดว่าถ้ามาที่นี่ในตอนกลางคืนบรรยากาศก็น่าจะเงียบสงบไปอีกแบบ แต่เรามากันกลางวันค่ะ

สำหรับจุดที่ถ่ายภาพคือแหลม Inamuragasaki ที่ช่วงฤดูร้อนก็จะมีดอกอาจิไซหลากหลายสีสันบานให้ชมคู่กับทิวทัศน์ริมทะเล เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ดีทีเดียวค่ะ

หลังได้รูปเป็นที่พอใจแล้ว ผู้เขียนก็วนกลับไปที่สถานีคามาคุระด้วยรถไฟ Enoden สายเดิม แน่นอนว่าเป้าหมายครั้งนี้คือศาลเจ้าหลักของเมืองคามาคุระอย่าง ศาลเจ้าซึรุกาโอกะฮาจิมังงู

โคมาจิโดริ

โคมาจิโดริ

จริงๆ ลงรถแล้วเดินไปไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงศาลเจ้าที่หมายแล้ว แต่ว่าระหว่างทางก็เป็นถนนสายเล็กที่ชื่อโคมาจิโดริ ถนนเส้นนี้ขายทั้งอาหารและของที่ระลึกมากมาย บางอย่างก็มีขายแค่ที่คามาคุระเท่านั้นด้วย ทำให้อดใจไม่ซื้อชิมไม่ได้สักครั้ง ตัวอย่างเช่น เครปร้อนของร้าน Coquelicot เป็นต้นค่ะ ปกติญี่ปุ่นจะมีแต่เครปเย็นขาย แต่เจ้านี้กลับทำเครปร้อนคล้ายกับที่ไทย แต่ถึงจะบอกว่าคล้าย มันก็มีอะไรที่ต่างกันอยู่เหมือนกัน ต้องลองดูค่ะ

ปกในของนิยายเล่มที่ 3

ปกในของนิยายเล่มที่ 3

แล้วในที่สุดก็มาถึง ซึรุกาโอกะฮาจิมังงู อันที่จริงทีแรกอ่านเจอชื่อศาลนี้ในนิยายก็งงไปวูบเหมือนกันค่ะ ว่าอะไรจะยาวขนาดนั้น (ฮา) แต่พอไปค้นแล้วพบว่ามันมีอยู่จริงๆ แถมดังอยู่แล้วด้วย ปกในของนิยายเล่มนั้นยังเป็นรูปบันไดทางขึ้นศาลเจ้าแบบเหมือนเปี๊ยบด้วย เลยกลายเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากมาตามรอยนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรกด้วยค่ะ น่าขึ้นมากๆ

ปกในของนิยายเล่มที่ 4

ปกในของนิยายเล่มที่ 4

แน่นอนว่าศาลเจ้าแห่งนี้ถูกกล่าวถึงในนิยายหลายครั้ง ทั้งตัวศาลและทางเดินมาที่ศาลเจ้าก็ถูกเอามาทำเป็นภาพปกในถึงสองภาพ แถมแถวนี้ก็ยังมีร้านของกินอร่อยเยอะแยะ เราจึงอ้อยอิ่งเดินเล่น กิน ถ่ายรูปอยู่ที่นี่นานหน่อยค่ะ แทบจะเรียกได้ว่าช่วงบ่ายเกือบทั้งหมดเลยล่ะ

ซึรุกาโอกะฮาจิมังงู เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกันค่ะ

เดิมที่นี่เป็นศูนย์กลางของเมืองคามาคุระ และฐานที่มั่นของตระกูลซามูไรที่เป็นใหญ่ในยุคคามาคุระ ถ้าหากเดินขึ้นไปจนถึงด้านบนศาลเจ้าแล้วมองลงมา จะสามารถเห็นเมืองคามาคุระทั้งเมืองได้ ไปจนจรดที่ทะเล เนื่องจากเป็นชัยภูมิที่ยากต่อการโจมตีแต่ง่ายต่อการตั้งรับจึงถูกใช้เป็นฐานที่มั่นในยุคนั้น ตัวศาลเจ้าเองก็ยิ่งใหญ่เสมอมา และติด 1 ใน 5 ศาลเจ้าที่คนญี่ปุ่นนิยมไปไหว้ขอพรขึ้นปีใหม่ในเขตคันโตค่ะ เทพเจ้าที่สถิตที่นี่เป็นเทพเจ้าแห่งชัยชนะ บางครั้งเวลาที่มีการแข่งขันกีฬาต่างๆ ก็จะมีคนมาซื้อเครื่องรางที่นี่ แล้วยังนิยมใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งแบบญี่ปุ่นอีกด้วย เรียกได้ว่าถ้าวันไหนมาแล้วโชคดี ก็อาจจะได้ดูพิธีแต่งงานกันฟรีๆอีกด้วยนะ

ถ่ายรูป กิน เที่ยว ซื้อเครื่องรางเป็นที่พอใจแล้ว ก็ได้เวลาไปยังสถานที่ตามรอยสุดท้ายของเรากันค่ะ เมื่อมองดูนาฬิกาก็พบว่าเริ่มแดดร่มลมตก จบจากการเก็บภาพสถานที่สุดท้ายเราคงจะได้กลับโตเกียวกันละค่ะ สถานที่สุดท้ายคือ ฉากที่ถูกนำมาจำลองเป็นร้านขายหนังสือเก่าบิเบลีย สถานี Kita-Kamakura นั่นเอง!

ขึ้นรถไฟสาย Yokosuka เจ้าเดิมจากคามาคุระไปเพียง 1 สถานีเท่านั้นก็ถึงเป้าหมายของเราแล้วค่ะ

ปกในของนิยายเล่มที่ 7

ปกในของนิยายเล่มที่ 7

แต่ว่า ต่างกับทุกฉากที่เคยถ่ายมา ร้านหนังสือร้านนี้เป็นร้านในจินตนาการของผู้เขียน ถึงจะถูกนำมาวาดเป็นปกในถึงสองครั้งคือในเล่มแรกและเล่มจบ และใช้ทิวทัศน์ของจริงของสถานี Kita-Kamakura ก็ตาม แต่ไม่ได้มีตัวร้านอยู่ตรงนั้นจริงๆค่ะ ต้องอาศัยจินตนาการนิดหนึ่งในการจะหาตำแหน่งให้เจอ

ปกในของนิยายเล่มที่ 1

ปกในของนิยายเล่มที่ 1

เท่านี้ภารกิจในการตามรอยครั้งนี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้วค่ะ แต่คิดว่าภาพยนตร์ที่จะออกมาในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้คงทำให้ผู้เขียนมีแรงบันดาลใจจะออกมาตามรอยสถานที่ใหม่ๆที่จะมีออกมาอีกเป็นแน่ ถึงตอนนั้นบทความนี้ก็อาจจะมีภาคสองค่ะ (ฮา) วันนี้ก็นั่งรถไฟสาย Yokosuka เจ้าเก่า กลับโตเกียวไปแบบขามา แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ ^ ^

know-before-you-go