รวมที่เที่ยวเด่นของคนไป "ชิซุโอกะ" ครั้งแรก
Shizuoka Trip
1 ภูเขาฟูจิ (Mount Fuji)
รับรองว่าเมื่อเอ่ยถึงประเทศญี่ปุ่น ทุกคนจะนึกถึงภูเขาไฟฟูจิ เพราะภูเขาไฟฟูจิได้กลายเป็นสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่นไปแล้ว เป็นตัวแม่เหล็กที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เข้ามาท่องเที่ยวในญี่ปุ่นได้ปีหนึ่งๆ ก็แตะหลักล้านคน เป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่คนมาเยือนญี่ปุ่นเกือบทุกคนอยากสัมผัสความงดงาม เก็บภาพภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลังสวยๆ เป็นที่ระลึกว่าได้มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วจริงๆ และมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มมุ่งเป้าว่าจะต้องสัมผัสภูเขาไฟฟูจิอย่างใกล้ชิดให้ได้ โดยการปีนภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งก็เป็นกิจกรรมที่ท้าทายทั้งร่างกายและจิตใจ
ทางเลือกที่ 1
หากต้องการเน้นถ่ายรูปกับทิวทัศน์งามๆ ที่มีภูเขาไฟฟูจิเป็นองค์ประกอบ จุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิสวยๆ ก็มีอยู่มากมาย เช่น ชายหาดป่าสนมิโฮะโนะมัตสึบาระ (Miho no Matsubara) ที่มองเห็นวิวชายทะเลที่มีภูเขาฟูจิอยู่เบื้องหลัง ชายหาดป่าสนได้รับการชึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย โดยนับเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกภูเขาฟูจิ
เวลาทำการ
เปิดตลอด
ค่าเข้าชม
ฟรี
การเดินทาง
ขึ้นรถบัส Shizutetsu Bus จากสถานี JR Shimizu ไปลงป้าย Miho-no-Matsubara Iriguchi แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 20 นาที
ทางเลือกที่ 2
อีกอย่างคือเลือกไปปีนภูเขาไฟฟูจิ แน่นอนว่าควรไปในวันที่อากาศแจ่มใส และเขาก็เปิดให้ปีนขึ้นไปได้แค่ช่วงฤดูร้อน ซึ่งก็คือต้นกรกฏาคม - ปลายเดือนสิงหาคมเท่านั้น สำหรับคอร์สการปีนก็แบ่งเป็น 4 คอร์สหลักๆ ตามความยากง่าย โดยคอร์สที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ เส้นทางโยชิดะงุจิ – คะวะงุชิโกะ (Yoshidaguchi - kawaguchiko) เพราะเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างลาด เดินสะดวก และมีที่พักให้บริการหลายแห่ง คอร์สสั้นที่สุดคือ ฟูจิโนะมิยะ (Fujinomiya) เหมาะกับนักปีนเขามือใหม่ คอร์สยากที่สุดยกให้ โกเต็มบะ (Gotemba) ทางเดินค่อนข้างลาดชัน ไกลจากยอดเขากว่าคอร์สอื่น ไม่มีจุดแวะพักและห้องน้ำมากนัก คนที่จะปีนคอร์สนี้ต้องมีทักษะพอสมควร และอีกเส้นทางคือคอร์สสุบาชิริ (Subashiri) เป็นเส้นทางที่คนไม่ค่อยนิยมเพราะต้องเดินในพื้นที่เขตป่า ร่มรื่นและเขียวขจีดีแต่อาจมองเห็นทางไม่ค่อยชัดถ้าเดินตอนกลางคืน การไปพิชิตยอดเขาฟูจิเราสามารถนั่งรถบัส Fujikyu มาลงจุดที่เป็นสถานีที่ 5 เป็นระดับความสูงระดับ 5 ซึ่งเป็นครึ่งทางของภูเขาฟูจิได้
2 ไร่ชาเขียวมากิโนฮาระ ไดฉะเอ็น (Makinohara Daicha-en)
ของดีจังหวัดชิซุโอกะที่ขึ้นชื่ออย่างหนึ่งคือชาเขียว เพราะจังหวัดนี้มีไร่ชามากมาย เราต้องอย่าพลาดที่จะไปเที่ยวไร่ชาเขียวซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดของชาเขียวที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นกัน ไร่ชาเขียวมากิโนฮาระไดฉะเอ็นเป็นไร่ชาเขียวที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีพื้นที่ประมาณ 50 ล้านตารางเมตร สามารถปลูกใบชาได้ในปริมาณมากเป็นอันดับหนึ่งของชิซุโอกะ และปริมาณของใบชาที่ปลูกได้จากไร่มากิโนฮาระไดฉะเอ็นก็มากที่สุดในจำนวนไร่ชาทั่วประเทศญี่ปุ่นด้วย ถ้ามาที่นี่ก็แนะนำให้ทำกิจกรรมเก็บใบชากับลองประสบการณ์ทำชาผงมัตฉะกัน และนอกจากนี้ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ชาให้ศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเกี่ยวกับชาอีกด้วย
เวลาทำการ
09.00 - 17.00 น. หยุดวันอังคาร
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ 300 เยน
นักเรียน นักศึกษา และผู้สูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ฟรี
การเดินทาง
ขึ้นรถไฟ JR Tokaido Main Line มาลงสถานี Kanaya จากนั้นต่อรถบัส Shimada City Community Bus ไปลงป้าย Fujinokuni Cha-no-Miyako Museum
3 ถ้ำริวงาชิโดะ (Ryugashido Cavern)
ยังอยู่กับความงดงามของธรรมชาติกันต่อ คราวนี้ไปเที่ยวถ้ำกันบ้าง ถ้ำริวงาชิโดะเป็นหนึ่งในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu) มีความลึก 1046 เมตร แต่เปิดให้เข้าไปเที่ยวชมประมาณ 400 เมตร ภายในถ้ำอากาศจะเย็นตลอดทั้งปี โดยอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 18 องศาเซลเซียส ภายในถ้ำมีจุดชมความงามอยู่ 50 จุด ที่เด่นๆ ก็เช่น น้ำตกสีทอง (The Grand Golden Waterfall) เป็นน้ำที่พุ่งลงมาจากผนังหลังคาของถ้ำ ความสูงประมาณ 30 เมตร ทำให้เป็นหนึ่งในน้ำตกใต้ดินที่ยาวที่สุดของญี่ปุ่นด้วย
เวลาทำการ
09.00 - 17.00 น.
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ (มัธยมปลายขึ้นไป) 1000 เยน
นักเรียนมัธยมต้น 600 เยน
นักเรียนประถม 600 เยน
การเดินทาง
ขึ้น Tokai Shinkansen มาลงสถานี Hamamatsu จากนั้นต่อรถบัสสายที่จะไป Okuyama Kougen ลงป้าย Ryugashidou Iriguchi
4 ศาลเจ้าคุโนซัง โทโชงุ (Kunozan Toshogu Shrine)
หลังเที่ยวชมและทำกิจกรรมทางธรรมชาติแล้วก็มาแวะศาลเจ้าให้จิตใจสงบกันสัก 2 ที่ ไปแวะศาลเจ้าคุโนซัง โทโชงุ (Kunozan Toshogu Shrine) กับศาลเจ้าคิโนมิยะ (Kinomiya Shrine) กันเถอะ
ศาลเจ้าคุโนซัง โทโชงุ (Kunozan Toshogu Shrine) สร้างขึ้นเพือเป็นเกียรติแก่โชกุนโทกุงาวะ อิเอยาสุ (Tokugawa Ieyasu) โดยก่อนถึงแก่กรรมท่านประสงค์จะให้นำศพฝังไว้ที่ภูเขาคุโนซัง (Kunozan) โชกุนโทกุงาวะรุ่นที่ 2 นามว่าโทกุงาวะ ฮิเดตาดะ (Tokugawa Hidetada) จึงได้สั่งให้สร้างศาลเจ้าแห่งนี้ สถาปัตยกรรมแบบชินโตมีการตกแต่งและสลักเป็นลวดลายสวยงามจนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติ เมื่อขึ้นมาถึงศาลเจ้าก็จะเจอซุ้มโรมง (Romon) ซึ่งเป็นประตูทางเข้า มีภาพแกะสลักลวดลายสัตว์ปีศาจบากุ (Baku) ภายในซุ้มประตูมีสิงโตเฝ้าอยู่ด้านซ้ายและขวา ประตูโรมงนี้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของชาติที่สำคัญอีกด้วย ถัดจากประตูโรมงเข้าไปก็เป็นหอกลอง ตัวศาลเจ้าหลัก และด้านในสุดเป็นสุสานของโชกุนโทกุงาวะ อิเอยาสุ นอกจากศาลเจ้าแล้วก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าไปศึกษาประวัติศาสตร์อีกด้วย
เวลาทำการ
เดือนกุมภาพันธ์ - กันยายน 09.00 - 17.00 น.
เดือนตุลาคม - มีนาคม 09.00 - 16.00 น.
ค่าเข้าชม
800 เยน สำหรับเข้าชมทั้งศาลเจ้าและพิพิธภัณฑ์
ศาลเจ้าอย่างเดียว 500 เยน
พิพิธภัณฑ์อย่างเดียว 400 เยน
การเดินทาง
ขึ้นรถบัสจากสถานี Shimizu ไปลงป้าย Kunozan-shita แล้วเดินขึ้นบันไดหิน 1159 ขั้น
หรือขึ้นรถบัสจากสถานี Shizuoka ไปลงป้าย Nihondaira-Ropeway แล้วขึ้น ropeway ไป (ค่าโดยสาร 550 เยน/เที่ยว)
5 ศาลเจ้าคิโนมิยะ (Kinomiya Shrine)
ศาลเจ้าคิโนมิยะเป็นที่เล่าลือกันมานานว่าเป็นที่สถิตของบรรดาเทพเจ้าที่นำโชคลาภและอายุขัยยืนยาว เป็นจุดแห่งพลังเทพเจ้าอันแรงกล้าอีกแห่งที่ผู้คนพากันมาสักการะขอพร สิ่งที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือโอคุสึ (Okusu) ต้นไม่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุกว่า 2000 ปี ลำต้นหนาประมาณ 24 เมตร สูงประมาณ 26 เมตร คนที่มาขอพรกับต้นโอคุสึให้มีอายุยืนยาวมีความเชื่อตามตำนานว่า หากเดินวนรอบต้นไม้ครบหนึ่งรอบอายุขัยจะเพิ่มขึ้น 1 ปี อีกความเชื่อมีว่า ถ้าเดินวนรอบต้นไม้ครบ 1 รอบขณะอธิษฐานไว้ในใจ คำอธิษฐานนั้นจะเป็นจริง สำหรับช่วงเย็นไปจนถึง 23.00 น. จะมีการเปิดไฟไลท์อัพต้นโอคุสึ ซึ่งนอกจากดูสวยงามอลังการแล้ว ยังทำให้ดูเหมือนมีมนตร์ขลังมากยิ่งขึ้นด้วย
เวลาทำการ
09.00 - 17.00 น.
ค่าเข้าชม
ฟรี
การเดินทาง
ขึ้นรถไฟสาย JR Tokaido มาลงสถานี Atami จากนั้นต่อรถบัสสายที่จะไป Nishiyama ลงป้าย Kinomiya Jinjya Mae หรือจะเดินจากสถานี Atami เลยก็ได้ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที