รวมเมืองเล็กแต่สวยในญี่ปุ่นที่น้อยคนจะรู้จัก
ญี่ปุ่นมีเมืองท่องเที่ยวชื่อดังที่ได้รับความนิยมหลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในเมืองใหญ่อย่างโตเกียว โอซาก้า ฟุกุโอกะ ถ้าเรามีโอกาสก็อยากแนะนำให้ได้ไปเที่ยวพื้นที่ต่างจังหวัดที่ห่างไกลเมืองใหญ่บ้าง ก็จะได้เปลี่ยนบรรยากาศไปพบกับชนบทหรือหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งคนจะน้อยกว่า มีอะไรที่แปลกใหม่และน้อยคนจะรู้จัก แต่ก็น่าสนใจไม่แพ้เมืองใหญ่เลย
บทความนี้จะขอพาไปทำความรู้จักกับเมืองและหมู่บ้านชนบทที่น่าเที่ยวในญี่ปุ่น 7 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งก็มีบรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติ หลายเมืองก็เป็นเมืองที่คนญี่ปุ่นนิยมไปเที่ยวแต่คนไทยไม่รู้จัก และมีความน่าสนใจเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไป เช่นมีชื่อเสียงเรื่องงานเทศกาล วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม หรือเป็นแหล่งออนเซ็นธรรมชาติเป็นต้น
1. นาคาโนะโจ จังหวัดกุนมะ (Nakanojo, Gunma)
นาคาโนะโจเป็นพื้นที่ชนบทกลางหุบเขาอันเงียบสงบในกุนมะ โดยมีที่ตั้งอยู่ในโซนใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น ชิมะออนเซ็น คุซัทสึออนเซ็น ทะเลสาบโนโซริ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่เชื่อมต่อไปยังจังหวัดนากาโนะและจังหวัดนีงาตะ
นาคาโนะโจเป็นพื้นที่ที่มีอากาศดีตลอดทั้งปี บรรยากาศของที่นี่มีทั้งสถาปัตยกรรมบ้านเรือนสมัยโบราณให้ความรู้สึกย้อนยุค และธรรมชาติที่น่าสนใจอย่างสวนมอสชาซึโบมิโกเคะ (Chatsubomi Moss Park) ซึ่งจะได้พบกับมอสสีเขียวเข้มสดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ล้อมรอบไปด้วยป่าและน้ำตกอันอุดมสมบูรณ์
การเดินทาง : จากโตเกียว นั่งรถไฟชินคันเซ็นสาย Hokuriku ไปลงที่สถานี Takasaki ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที จากนั้นต่อรถไฟสาย Agatsuma Line ไปลงที่สถานี Nakanojo ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที
2. โทตสึคาวะ จังหวัดนารา (Totsukawa, Nara)
หมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในภูเขาลึก ล้อมรอบด้วยธรรมชาติ ป่าไม้ ลำธารที่อุดมสมบูรณ์และสวยงาม รอบๆพื้นที่หมู่บ้านมีแหล่งออนเซ็นธรรมชาติที่มีชื่อเสียงอย่างโทตสึคาวะออนเซ็น (Totsukawa Onsen), โรงอาบน้ำสาธารณะ, เรียวกัง, ร้านอาหาร, คาเฟ่ และร้านขายของที่ระลึก รวมทั้งสะพานทานิเซะ(Tanize Bridge) ซึ่งเป็นสะพานแขวนเดินชมวิวข้ามภูเขาที่มีความยาวถึง 297 เมตร
นอกจากนี้หมู่บ้านโทตสึคาวะยังเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางแสวงบุญที่เชื่อมต่อไปถึงภูเขาคิอิ (Kii) และคุมาโนะโคโดะ (Kumano-Kodo) ในจังหวัดวาคายามา ที่ได้รับการลงทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก้ (Unesco) ซึ่งเป็นเส้นทางธรรมชาติที่สวยงามมาก
การเดินทาง : จากโอซาก้า ขึ้นรถไฟ Kintetsu Railway สาย Osaka Line ที่สถานี Kintetsu Osaka-Uehommachi ไปลงที่สถานี Yamato-Yagi ในจังหวัดนารา ใช้เวลาประมาณ 40 นาที จากนั้นต่อรถบัสสาย Yagi-Shingu Bus ที่ไปสถานี JR Shingu ในวาคายามา ซึ่งเป็นเส้นทางรถบัสที่ยาวที่สุด โดยจะมีจุดที่ผ่าน Totsukawa Murayakuba (Village office) และ Totsukawa Onsen ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง มีรถวิ่งบริการ 3 เที่ยว/วัน
3. โอจิโร่ จังหวัดเฮียวโงะ (Ojiro, Hyogo)
โอจิโร่เป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขาของเมืองคามิ (Kami) จังหวัดเฮียวโงะ และได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 100 หมู่บ้านที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น ด้วยทิวทัศน์และบรรยากาศที่สวยงามตลอดทั้ง 4 ฤดูกาลอีกทั้งยังมีกิจกรรมท่องเที่ยวน่าสนใจหลากหลายเช่น นาข้าวขั้นบันได (Rice Terraces) และฟาร์มเลี้ยงโคเนื้อโกเบชื่อดัง สายพันธุ์ Tajima Beef Cattle
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ตั้งแคมป์ เดินป่า ปีนเขา รวมทั้งไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งก็คือที่นี่จะกลายเป็นพื้นที่เล่นสกีหิมะในทุกฤดูหนาว ซึ่งต้องบอกว่าเป็นที่ตั้งของสกีรีสอร์ทและสโนว์ ปาร์ค พร้อมกิจกรรมในฤดูหนาวอย่างครบครัน เช่น เทศกาลหิมะ ท่ามกลางธรรมชาติของชนบทที่สวยงาม เงียบสงบ
การเดินทาง : จากสถานี Osaka ขึ้นรถไฟสาย LTD. EXP KONOTORI ไปลงที่สถานี JR Yoka ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 20 นาที จากนั้นให้ต่อรถบัส Zentan Bus ไปลงที่ป้าย Ojiro Otani Bus stop ใช้เวลาประมาณ 60 นาที
4. วาซุกะ จังหวัดเกียวโต (Wazuka, Kyoto)
เมืองเล็กๆกลางหุบเขาทางตอนใต้ของเกียวโตที่มีชื่อเสียงเรื่องเป็นพื้นที่ปลูกชาเขียวมายาวนานกว่า 800 ปีด้วยวิธีการแบบดั้งเดิม และชาเขียวชั้นเลิศที่มีชื่อเสียงของที่นี่ก็คือชาเขียวอุจิมัทฉะ (Uji Matcha) และ คาบุเสะ เซนฉะ (Kabuse Sencha) และเพราะมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นไร่ชา ที่นี่จึงมีสถานที่ท่องเที่ยวในไร่ชาหลายแห่ง ซึ่งมีกิจกรรมในไร่ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวที่สนใจ เช่น การเก็บชา การชงชา และมีคาเฟ่สำหรับนั่งดื่มชาชมวิวไร่ชาเขียวและมีสินค้า ขนม ของฝากทำจากชาเขียวให้เลือกซื้อกันอย่างหลากหลาย
ในเดือนพฤศจิกายนที่นี่จะมีการจัดงานเทศกาลชื่อว่า Chagenkyo Matsuri (Teatopia Festival) ซึ่งเป็นงานที่จะมีการจัดแสดงเกี่ยวกับชาจากไร่ต่างๆในวาซุกะอย่างยิ่งใหญ่และมีผู้สนใจมาร่วมงานจำนวนมากทุกปี
การเดินทาง : จากโอซาก้าเริ่มต้นที่สถานี Tennoji ขึ้นรถไฟสาย Yamatoji Line ไปลงสถานี JR Kamo ใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมง จากนั้นต่อรถบัส Nara Kotsu bus ไปลงที่ป้าย Wazuka Yama no ie ใช้เวลาประมาณ 20 นาที