All About Japan

6 สถานที่เล่นกับสัตว์โลกน่ารักทั่วญี่ปุ่น

พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ สัตว์

ประเทศญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเต็มไปด้วยสิ่งของน่ารักๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่บนเกาะเล็กๆ หรือในหมู่บ้านอันห่างไกล ก็ยังมีเหล่าสัตว์แสนน่ารักหลากหลายชนิดที่กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งสถานที่ที่เราจะแนะนำมีทั้งเกาะแมว เกาะกระต่าย หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก ฟาร์มอัลปาก้า ไปจนถึงสัตว์ที่ไม่คุ้นชื่ออย่างคาปิบาร่าซึ่งรักการแช่ออนเซ็นในฤดูหนาวไม่ต่างจากมนุษย์เลย

1. เกาะแมว  ไอโนะชิม่า จ.ฟุกุโอกะ (Ainoshima, Fukuoka)

1. เกาะแมว  ไอโนะชิม่า จ.ฟุกุโอกะ (Ainoshima, Fukuoka)

https://www.flickr.com/photos/toomore/21404722456/

เกาะสุดฮิตสำหรับบรรดาคนรักแมวซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก โดยเกาะไอโนะชิม่าแห่งนี้มีพื้นที่ขนาดเล็กเพียง 1.25 ตารางกิโลเมตร หรือหากเทียบให้เห็นภาพชัดยิ่งขึ้นก็คือถนนรอบเกาะมีความยาวรวมกันเพียง 6 กิโลเมตร แต่มีประชากรแมวอยู่บนเกาะเป็นหลักร้อยตัว ทำให้นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนมีโอกาสพบกับเหล่าแมวน่ารักๆ หลากหลายวัยและสีสันได้ทั่วทุกแห่ง

โดยจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกาะไอโนะชิม่ามีแมวเยอะขนาดนี้ มาจากชาวประมงบนเกาะที่ต้องการหาทางกำจัดหนู และกำจัดเศษอาหารต่างๆ โดยเฉพาะเศษหัวปลาหรือก้างปลาที่จับมาจากทะเล ทำให้เกาะแห่งนี้เปรียบเหมือนสวรรค์ของบรรดาแมวจนมีการแพร่พันธุ์เพิ่มขึ้นมากมาย และหลังจากที่เกาะแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดัง ก็ได้มีการขอร้องไม่ให้นักท่องเที่ยวให้อาหารแมว เพื่อเป็นการรักษาความสะอาดและรักษาระบบนิเวศบนเกาะเอาไว้

การเดินทาง : จากสถานี Hakata ขึ้นรถไฟสาย JR Kagoshima ไปลงที่สถานี Fukkodaimae (15 นาที 280 เยน) จากนั้นขึ้นรถเมล์สาย 1 ไปลงที่ป้าย Shingu Port (15 นาที 100 เยน) และขึ้นเรือไปยังเกาะไอโนะชิม่า (15 นาที 460 เยน)
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
เวลาเปิดทำการ : 24 ชั่วโมง

2. หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกซาโอะ จ.มิยางิ (Zao Fox  Village, Miyagi)

2. หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกซาโอะ จ.มิยางิ (Zao Fox  Village, Miyagi)

https://www.flickr.com/photos/miurasat/23923643085/

สุนัขจิ้งจอกในความคิดของใครหลายๆคน อาจจะเป็นตัวแทนของความเจ้าเล่ห์ แต่หากใครที่ได้เห็นภาพความน่ารักของบรรดาจิ้งจอกที่หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกซาโอะ ก็อาจจะเปลี่ยนความคิดเดิมไปอย่างสิ้นเชิง เพราะที่หมู่บ้านแห่งนี้มีสุนัขจิ้งจอกอยู่ทั้งหมด 6 สายพันธุ์ และมีจำนวนรวมกันมากกว่าร้อยตัว ซึ่งมีทั้งโซนที่ถูกเลี้ยงเอาไว้ในกรง และโซนที่ปล่อยให้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติอย่างอิสระ ทำให้เราสามารถให้อาหาร ถ่ายภาพ และเฝ้ามองบรรดาจิ้งจอกเหล่านี้ได้อย่างใกล้ชิด

ฤดูยอดนิยมในการแวะมาเยือนหมู่บ้านจิ้งจอกแห่งนี้คือในช่วงฤดูหนาว (เดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์) เพราะจะได้เห็นเหล่าสุนัขจิ้งจอกที่มีขนปุย ตัวกลม วิ่งเล่นหรือนอนกลิ้งอยู่บนพื้นหิมะสีขาว หรือหากใครที่แวะมาในช่วงเดือนกรกฎาคม ก็อาจมีโอกาสได้เจอลูกสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยๆ เนื่องจากเป็นฤดูในการคลอดทายาทตัวใหม่ และแม้ว่าสุนัขจิ้งจอกเหล่านี้ไม่ได้มีนิสัยดุร้าย แต่ก็มีข้อควรระวังที่ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่นการไม่สัมผัสกับสุนัขจิ้งจอกโดยไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล และไม่ป้อนอาหารให้สุนัขจิ้งจอกด้วยมือโดยตรง

การเดินทาง : จากโตเกียว ขึ้นรถไฟชินคันเซนมาลงที่สถานี Shiroishizao (1 ชั่วโมง 50 นาที 9,830 เยน ใช้ JR Pass ได้) จากนั้นต่อรถแท็กซี่ไปยังหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก (25 นาที ประมาณ 4,000 เยน)
ค่าเข้าชม : 1,000 เยน ให้อาหารจิ้งจอกครั้งละ 100 เยน (ไม่บังคับ)
เวลาเปิดทำการ : 1 ธันวาคม – 15 มีนาคม 09.00 – 16.00 น.
16 มีนาคม – 30 พฤศจิกายน 09.00 – 17.00 น.
ปิดทุกวันพุธ (ยกเว้นในเดือนกุมภาพันธ์และสิงหาคม)

3. นาสุ อัลปาก้าฟาร์ม จ.โทชิงิ (Nasu Alpaca Farm, Tochigi)

3. นาสุ อัลปาก้าฟาร์ม จ.โทชิงิ (Nasu Alpaca Farm, Tochigi)

https://www.flickr.com/photos/kkctys/8651552551/

ในช่วงหลังมานี้อัลปาก้าถือเป็นสัตว์ที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมากในประเทศญี่ปุ่น จากรูปร่างหน้าตาที่คล้ายกับอูฐ แต่ตัวเล็กกว่าและมีขนปุย ซึ่งดูเป็นมิตรและน่ารักกว่า จนมีรายการโทรทัศน์มากมายพากันนำเสนอเรื่องราวของสัตว์ชนิดนี้ รวมถึงการสร้างคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนต่างๆ โดยใช้อัลปาก้าเป็นต้นแบบ

สำหรับใครที่ต้องการสัมผัสกับความน่ารักของสัตว์ชนิดนี้ ที่นาสุ อัลปาก้าฟาร์ม จ.โทชิงิแห่งนี้ ถือเป็นฟาร์มอัลปาก้าแห่งแรก และเป็นฟาร์มอัลปาก้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีเหล่าอัลปาก้าจำนวนกว่า 400 ตัวที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในฟาร์ม และมีกิจกรรมมากมายที่ให้ทุกคนได้สัมผัสกับอัลปาก้าอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการป้อนอาหาร การพาไปเดินเล่น รวมถึงการถ่ายรูปคู่ และซื้อของฝากเกี่ยวกับอัลปาก้าหลากหลายชนิดเป็นที่ระลึก

การเดินทาง : จากโตเกียว ขึ้นรถไฟชินคันเซนมาลงที่สถานี Shin-Shirakawa (1 ชั่วโมง 20 นาที 6,150 เยน ใช้ JR Pass ได้) จากนั้นต่อรถแท็กซี่ไปที่ฟาร์ม (20 นาที ประมาณ 3,000 เยน)
ค่าเข้าชม : 800 เยน
เวลาเปิดทำการ : 10.00 – 16.00 น. (ปิดทุกวันพฤหัสบดี)

4. เกาะกระต่าย โอคุโนะชิม่า จ.ฮิโรชิม่า (Okunoshima, Hiroshima)

4. เกาะกระต่าย โอคุโนะชิม่า จ.ฮิโรชิม่า (Okunoshima, Hiroshima)

https://www.flickr.com/photos/69313107@N00/26077640456/

นอกจากประเทศญี่ปุ่นจะมีเกาะแมวแล้ว ก็ยังมีเกาะแห่งสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่มีความน่ารักไม่แพ้กัน นั่นก็คือเกาะกระต่าย หรือเกาะโอคุโนะชิม่า ซึ่งเรื่องราวความเป็นมาของเกาะแห่งนี้อาจจะดูค่อนข้างโหดร้าย เนื่องจากในอดีตนั้นพื้นที่บนเกาะถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับการทดลองอาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพต่างๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และหนึ่งในสัตว์ที่ถูกนำมาใช้ทดลองก็คือกระต่ายนี่เอง แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลงและเกาะถูกทิ้งร้าง เหล่ากระต่ายที่มีชีวิตรอดก็ได้แพร่พันธุ์และใช้ชีวิตตามธรรมชาติ จนเปลี่ยนโฉมหน้าจากเกาะอันแสนโหดร้ายมาเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงในเรื่องความน่ารักมาจนถึงทุกวันนี้

สถานที่อื่นๆ ที่แนะนำไปก่อนหน้านี้อาจมีความเข้มงวดในเรื่องการให้อาหาร แต่สำหรับเกาะกระต่ายนั้น นักท่องเที่ยวที่แวะมาเยือนมักจะเอาแครอทหรือผักชนิดอื่นๆ ติดตัวมาฝากเจ้ากระต่ายบนเกาะกันด้วย หรือใครที่ไม่สะดวกก็สามารถซื้ออาหารเม็ดได้ที่บริเวณท่าเรือ ซึ่งรับรองว่าเมื่อเหล่ากระต่ายได้เห็นถุงอาหารในมือแล้ว ทุกตัวจะพากันวิ่งมารุมล้อมคุณอย่างใกล้ชิด

การเดินทาง : จากโอซาก้า ขึ้นรถไปชินคันเซนไปลงที่สถานี Mihara (1 ชั่วโมง 50 นาที 8,090 เยน ใช้ JR Pass ได้) จากนั้นขึ้นรถไฟสาย JR Kure ไปลงที่สถานี Tadanoumi (22 นาที 320 เยน) และขึ้นเรือจากท่าเรือไปยังเกาะกระต่าย (15 นาที 620 เยน ไปกลับ)
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
เวลาเปิดทำการ : 24 ชั่วโมง

5. อิซุ ชาโบเตน พาร์ค จ.ชิซึโอกะ (Izu Shaboten Park, Shizuoka)

5. อิซุ ชาโบเตน พาร์ค จ.ชิซึโอกะ (Izu Shaboten Park, Shizuoka)

https://www.flickr.com/photos/koji1106/8582875402/

อิซุ ชาโบเตน พาร์ค เป็นธีมพาร์คขนาดใหญ่ที่รวมสถานที่หลายรูปแบบเอาไว้ด้วยกัน ทั้งสวนสัตว์ สวนกระบองเพชร สวนดอกไม้ และสวนน้ำ โดยสัตว์ที่เป็นไฮไลท์ในโซนสวนสัตว์นั้นคือ “คาปิบาร่า” (capybara) สัตว์ในตระกูลหนูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ชอบอยู่ใกล้แหล่งน้ำและชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง และแม้จะถูกเรียกว่าเป็นหนูยักษ์ แต่หน้าตาของมันนั้นดูทั้งน่ารักและชวนให้อมยิ้มไปพร้อมๆ กัน และยังถือเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยพบในสวนสัตว์ทั่วไปมากนัก

นอกจากนี้ในระหว่างฤดูหนาว (ประมาณเดือนพฤศจิกายน – เมษายน) ทางสวนสัตว์จะมีบ่อออนเซ็นกลางแจ้งเพื่อให้เหล่าคาปิบาร่าลงมาแช่น้ำคลายหนาว พร้อมกับใส่ส้มสีทองลงไปในน้ำเป็นจำนวนมากเพื่อช่วยให้คาปิบาร่ามีสุขภาพดี ภาพอันแสนน่ารักและหาดูได้ยากนี้จึงได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของฤดูหนาวประจำเมืองอิซุ และดึงดูดทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้เดินทางมาเยือนกันอย่างไม่ขาดสาย

การเดินทาง : จากโตเกียว ขึ้นรถไฟชินคันเซนมาลงที่สถานี Atami (48 นาที 3,670 เยน ใช้ JR Pass ได้) และเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย JR Ito ไปลงที่สถานี Ito (22 นาที 320 เยน) จากนั้นขึ้นรถบัส Tokai Bus หรือรถแท็กซี่ต่ออีกประมาณ 25 นาที
ค่าเข้าชม : 2,300 เยน
เวลาเปิดทำการ : เดือนมีนาคม – เดือนตุลาคม 09.00 – 17.00 น.
เดือนพฤศจิกายน – เดือนกุมภาพันธ์ 09.00 – 16.00 น.

6. แหลมชิริยาซากิ จ.อาโอโมริ (Cape Shiriyazaki, Aomori)

6. แหลมชิริยาซากิ จ.อาโอโมริ (Cape Shiriyazaki, Aomori)

https://ja.wikipedia.org/wiki/%E3%83%95%E3%82%A1%E3%82%A4%E3%83%AB:Kandachime_2011.JPG

ภาพของฝูงม้าที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวขจีนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ในภาพยนตร์ หรือมีแค่ในบางประเทศของยุโรปเท่านั้น แต่ที่แหลมชิริยาซากิ จ.อาโอโมริ คือสถานที่ที่สามารถพบกับม้าสายพันธุ์คันดาจิเมะ (Kandachime) ซึ่งมีลักษณะลำตัวอวบใหญ่ ขาสั้น และสามารถทนต่อสภาพอากาศอันหนาวเหน็บได้ดี ซึ่งฝูงม้าเหล่านี้ต่างใช้ชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ และถูกคุ้มครองและดูแลรักษาในฐานะสมบัติทางธรรมชาติของจ.อาโอโมริ

นอกจากการได้ชื่นชมฝูงม้าในธรรมชาติอย่างใกล้ชิดแล้ว บริเวณแหลมชิริยาซากิยังถือเป็นจุดที่มีทัศนียภาพอันงดงาม เนื่องจากสามารถมองเห็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้า โขดหินสูงใหญ่ และยังมีประภาคารสีขาวเป็นฉากหลัง บวกกับพื้นที่ที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมือง จึงมีบรรยากาศที่เงียบสงบและผ่อนคลาย และยังถือเป็นจุดที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนมากนัก

การเดินทาง : จากอาโอโมริ ขึ้นรถไฟสาย Aoimori Railway มาลงที่สถานี Noheiji จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย JR Ominato ไปลงที่สถานี Shimokita (1 ชั่วโมง 50 นาที 2,180 เยน) เมื่อถึงสถานีแล้ว ต่อรถแท็กซี่ไปยัง Mutsu Bus Terminal เพื่อขึ้นรถบัส Shimokita Kotsu Bus สาย Shiriya ไปลงที่ป้าย Shiriyazaki-kuchi (40 นาที 1,310 เยน)
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
เวลาเปิดทำการ : 24 ชั่วโมง

know-before-you-go