10 ที่เที่ยวไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนนากาโนะ
1. คามิโคจิ สวิตเซอร์แลนด์แห่งญี่ปุ่น (Kamikochi)
อุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงในพื้นที่เมืองมัตสึโมโตะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีทิวทัศน์สวยงาม เป็นทั้งเส้นทางเดินป่าสำรวจธรรมชาติ ปีนเขา ตั้งแคมป์ มีจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเช่น สะพานคัปปะบาชิ (Kappa Bridge), บึงไทโช (Taisho Pond), สะพานเมียวจิน (Myojin Bridge) เป็นต้น และเนื่องจากเป็นพื้นที่ๆมีการห้ามใช้รถส่วนตัวและห่างไกลจากเมือง จึงทำให้บริเวณรอบๆคามิโคจิเป็นพื้นที่ๆมีอากาศบริสุทธิ์อย่างแท้จริง
ค่าเข้าชม : ไม่มี
เวลาทำการ : ปลายเม.ย. - กลางพ.ย. (ใบไม้เปลี่ยนสี: ต้น - กลางต.ค.)
ปิดให้บริการในช่วงฤดูหนาว (ปลายพ.ย. - กลางเม.ย.)
การเดินทาง : หากเริ่มจากสถานี Matsumoto นั่งรถไฟสาย Kamikochi Line (ของบริษัทชื่อ Matsumoto Dentetsu) ไปลงสุดทางที่สถานี Shinshimashima ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นต่อรถบัสสายที่ไปคามิโคจิใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมง15นาที
หรือถ้าเริ่มต้นที่นากาโนะ จากสถานี Nagano นั่งรถบัส Highland Express ชื่อสาย Seseragi Line จะมีรถที่วิ่งตรงไปถึงคามิโคจิโดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที
2. ชมลิงแช่น้ำร้อนที่อุทยานลิง จิโกคุดานิ (Jigokudani Monkey Park)
สวนอนุรักษ์ลิงป่าญี่ปุ่น ตั้งอยู่กลางหุบเขาจิโกคุดานิที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น มีลิงภูเขาญี่ปุ่นจำนวน 200 ตัวอาศัยอยู่ เป็นสถานที่ๆนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาชมภาพลิงน้อยใหญ่แช่ออนเซ็นอย่างใกล้ชิดได้ในช่วงฤดูหนาว (ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่หาดูได้ยากมากๆในที่อื่น)
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 500 เยน, เด็ก 250 เยน
เวลาทำการ :
ช่วงฤดูร้อน เดือน เมษายน-ตุลาคม เวลา : 08.00 -17.00 น.
ช่วงฤดูหนาว เดือนพฤศจิกายน-มีนาคม เวลา 09.00-16.00 น.
การเดินทาง : จากสถานี Nagano นั่งรถไฟ JRสาย Nagano Dentetsu ไปลงสถานี Yudanaka จากนั้นต่อรถบัสไปลงที่ Bus Stop for Snow Monkey และเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 1.6 กิโลเมตร (ประมาณ 30-40 นาที)
3. เมืองโบราณแห่งนากาโนะ นาราอิจูกุ (Narai-Juku)
หนึ่งในย่านเมืองเก่าที่สมัยก่อนเคยเป็นจุดแวะพักของเส้นทางนากะเซนโดะ ซึ่งเป็นถนนสำหรับเดินทางระหว่างเกียวโตและโตเกียวในอดีต ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่รุ่งเรืองที่สุดในหุบเขาคิโซ (Kiso) ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะกับการชมบรรยากาศบ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพดี บ้านบางหลังก็เปิดให้เข้าชม บางหลังก็เป็นโฮมสเตย์ ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร โดนส่วนใหญ่ตกแต่งในสไตล์วินเทจและอนุรักษ์สภาพดั้งเดิมเอาไว้ได้ดีมากๆ
ค่าเข้าชม : ไม่มี
เวลาทำการ : ขึ้นอยู่กับฤดูกาล ช่วงฤดูหนาว ร้านค้ากับพิพิธภัณฑ์ต่างๆจะปิดเร็วกว่าปกติ
การเดินทาง : นั่งรถไฟ JR สาย Chuo ไปลง สถานี Narai เดินต่ออีกประมาณ 3 นาที
4. วัดเซนโคจิ วัดใหญ่ใจกลางนากาโนะ (Zenkoji Temple)
ได้ชื่อว่าเป็นวัดพุทธแห่งแรกในญี่ปุ่น ภายในบริเวณวัดเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ มีส่วนที่เป็นห้องโถงกลาง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปต่างๆ และอีกด้านหนึ่งก็มีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของวัดเซนโคจิ ที่จัดแสดงรูปปั้นแกะสลักพระพุทธรูปตั้งแต่สมัยโบราณ และเมื่อเที่ยวที่วัดเสร็จแล้วสามารถเดินต่อไปยังถนนนากามิเสะ ถนนหน้าวัดซึ่งเป็นย่านร้านอาหาร ร้ายขายขนม และของที่ระลึกต่างๆได้ด้วย
ค่าเข้าชม : พื้นที่วัดไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ในส่วนพิพิธภัณฑ์และโซนจัดแสดงโบราณวัตถุด้านในต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแล้วแต่สถานที่นั้นๆ
เวลาทำการ : ทุกวัน 09.00-16.00 น.
การเดินทาง : จากสถานี Nagano นั่งรถ Nagano loop bus ไปลงที่ป้าย Zenkoji-Daimon หรือจะเดินจากสถานีไปก็ได้
5. ปราสาทอีกาดำ มัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle)
มีอีกชื่อหนึ่งว่าปราสาทอีกาดำเนื่องจากมีหอคอยและป้อมปืนเชื่อมต่อกับโครงสร้างอาคารหลักที่เป็นสีดำเกือบสนิท คล้ายกับอีกา ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และสุขุม จัดว่าเป็นปราสาทที่มีสถาปัตยกรรมสวยอันดับต้นๆของญี่ปุ่น และที่สำคัญคือ เป็นหนึ่งในปราสาทที่รอดจากไฟสงครามมาได้จนถึงปัจจุบันเพียงไม่กี่ที่อีกด้วย รอบนอกปราสาทจะมีแอ่งน้ำตื้นล้อมรอบและมีสวนสาธารณะอยู่ใกล้ๆ ในส่วนของตัวอาคารและด้านในปราสาททำจากไม้ทั้งหมด มี 6 ชั้น แต่ละชั้นก็ใช้เป็นที่เก็บอาวุธ ชุดเกราะซามูไร ภาพเขียนจากยุคโบราณ เป็นต้น
ค่าเข้าชม : รอบนอกปราสาทไม่เสียค่าเข้าชม / ด้านในตัวปราสาทมีค่าเข้าชม 610 เยน
เวลาทำการ : 8:30-17:00 หยุดปีใหม่ช่วงวันที่ 29 ธันวาคม – 3 มกราคม
การเดินทาง : จากสถานี JR Matsumoto Station เดินไปประมาณ 15 นาที หรือนั่งรถบัส Town Sneaker (Northern course) ไปลงที่บริเวณปราสาทจะใช้เวลาประมาณ 5 นาที
6. ศาลเจ้าโทงาคุชิ (Togakushi Shrine)
ศาลเจ้าในป่าใหญ่กลางเมืองนากาโนะ ตลอดสองข้างทางที่เดินไปศาลเจ้าถูกโอบล้อมไปด้วยต้นสนซีดาร์ขนาดสูงใหญ่ภายในพื้นที่ศาลเจ้าประกอบด้วยศาลเจ้าเล็กๆ 3 ส่วน คือ ศาลล่าง ศาลกลาง และศาลบน โดยศาลทั้ง 3 แห่ง มีทางเชื่อมต่อกันขึ้นไปตามทางลาดภูเขา ซึ่งแต่ละศาลเจ้าก็จะมีบรรยากาศที่แตกต่างกัน เช่น ศาลกลาง เป็นที่ตั้งของร้านค้า ร้านอาหาร ส่วนศาลบนจะมีพิพิธภัณฑ์นินจาโทงาคุเระ นินโป (Togakure Ninpo Museum) ตั้งอยู่ใกล้ๆ เป็นศาลเจ้าที่สวยมีสเน่ห์ดูลึกลับแต่ก็มีอะไรให้ทำหลากหลายเกินคาด
ค่าเข้าชม : ไม่มี
เวลาทำการ : ตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง : จากสถานี Nagano โดยสารรถบัสหมายเลข 70 หรือ 71 ไปลงที่ Togakushi-Hokosha (ศาลล่าง) ใช้เวลาประมาณ 50 นาที หรือนั่งเลยไปอีกเล็กน้อยเพื่อลงที่ Togakushi-Chusha สำหรับศาลเจ้ากลาง และ Togakushi-Okushairiguchi สำหรับศาลเจ้าบน
7. โนซาวะ ออนเซ็น (Nozawa Onsen)
เมืองออนเซ็นเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมานานหลายร้อยปี โนซาวะออนเซ็นมีบ่อออนเซ็นสาธารณะ 13 แห่ง ที่เปิดให้บริการฟรีกับนักท่องเที่ยว ซึ่งล้วนดูแลโดยชาวบ้านในหมู่บ้าน ไฮไลท์ของการมาแช่ออนเซ็นที่นี่จะอยู่ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งมีทั้งลานสกีและบรรยากาศการแช่ออนเซ็นที่มีกลิ่นอายญี่ปุ่นสมัยโบราณท่ามกลางหิมะสีขาวโพลน
ค่าเข้าชม : มีบ่อออนเซ็นสาธารณะให้บริการฟรี แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ขึ้นอยู่กับบริการที่ใช้
เวลาทำการ : ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
การเดินทาง : นั่งรถไฟ JR สาย Iiyama ไปลงสถานี Togari-Nozawaonsen ต่อรถบัสอีกประมาณ 20 นาที ไปลงที่ป้าย Nozawa Onsen ซึ่งเป็นป้ายสุดท้าย
8. ฟาร์มวาซาบิไดโอ ชมการปลูกวาซาบิและคลองน้ำใส (Daio Wasabi Farm, Azumino)
ฟาร์มวาซาบิไดโอ เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1917 มีบริการให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมไร่วาซาบิพร้อมทั้งสัมผัสประสบการณ์ทำเมนูอาหารพื้นบ้านอย่าง "วาซาบิสึเกะ" และมีกิจกรรมยอดนิยมคือการล่องแพยางบนแม่น้ำทาเดกาวะ โดยสตาร์ทจากภายในฟาร์มนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารที่มีเมนูวาซาบิแบบพิเศษซึ่งหาทานได้ยาก อย่างเช่นข้าวหน้าวาซาบิ ซอฟท์ครีมวาซาบิ เครื่องดื่มรสวาซาบิ และโคร็อกเกะวาซาบิเป็นต้น
ค่าเข้าชม : ไม่มี
เวลาทำการ :
ช่วงเดือนมีนาคม - ตุลาคม 09.00 – 17.20 น.
ช่วงเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ : 09.00 – 16.30 น.
การเดินทาง : นั่งรถไฟ JR สาย Oito Line ไปลงที่สถานี Hotaka จากนั้นต่อรถ Loop bus อีกประมาณ 10 นาทีไปลงที่ฟาร์มวาซาบิไดโอ
9. น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito No Taki)
ตั้งอยู่ในป่าทางเหนือของเมืองคารุอิซาว่า มีความสูงแค่ 3 เมตร แต่กว้างถึง 70 เมตร ด้านบนของน้ำตกเป็นพื้นที่ลาดชันของภูเขาไฟที่กักเก็บน้ำไว้ใต้ดินแล้วไหลออกมาเป็นน้ำตกคล้ายฝนที่ตกลงมาอย่างสม่ำเสมอ เป็นม่านน้ำสีขาวที่ทอดไปเป็นแนวยาว ทำให้สามารถทำการเล่นแสงไฟได้ง่าย จึงมีการจัดงานแสดงไฟขึ้นทุกๆปีในช่วงเดือนกรกฏาคมและสิงหาคม
ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดจะเป็นช่วงฤดูร้อน ซึ่งพืชพรรณรอบๆจะมีสีเขียวชอุ่ม ส่วนช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีปลายเดือนตุลาคมก็จะได้พบกับสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามไม่แพ้กัน
ค่าเข้าชม : ฟรี
เวลาทำการ : เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง : จากสถานี Karuizawa ต่อรถบัสประมาณ 25 นาที ไปลงที่ป้ายรถบัส Shiraito no Taki จากนั้นเดินต่อไปที่น้ำตกอีกประมาณ 5-10 นาที
10. ย่านเมืองเก่าของคารุอิซาว่า (Kyu-Karuizawa)
ย่านที่อยู่ใจกลางพื้นที่รีสอร์ทของคารุอิซาว่า สถานที่พักผ่อนตากอากาศและช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆในหมู่คนญี่ปุ่น (โดยเฉพาะคนโตเกียว) มีร้านค้าหลากหลายแนว ทั้งร้านขายของน่ารักๆ ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายสินค้าพื้นเมือง ของที่ระลึกและผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองคารุอิซาว่า มีบรรยากาศที่ออกแนวตะวันตกนิดๆ ผสมผสานกับความเป็นธรรมชาติและสีเขียวของป่า อีกทั้งใกล้ๆกันยังมีกิจกรรมอื่นๆที่น่าสนใจด้วย เช่นการเช่าจักรยานเป็นต้น
ค่าเข้าชม : ฟรี
เวลาทำการ : เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง : สามารถเดินไปได้จากสถานี Karuizawa