10 ที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาดใน"ฟุกุโอกะ"
ฟุกุโอกะ (Fukuoka) ถือเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของญี่ปุ่น และเป็นเมืองท่าสำคัญในการเดินทางค้าขายมานับตั้งแต่อดีต ทำให้ในปัจจุบันเมืองฟุกุโอกะเปรียบเสมือนเมืองหลักและประตูสู่ภูมิภาคคิวชู และเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายไม่แพ้เมืองอื่นๆในประเทศญี่ปุ่น วันนี้เราจึงขอแนะนำ 10 สถานที่เที่ยวที่คุณไม่ควรพลาดในเมืองฟุกุโอกะ
1. ฟุกุโอกะทาวเวอร์ สัญลักษณ์ของคิวชู (Fukuoka Tower)
ฟุกุโอกะทาวเวอร์เป็นหอคอยที่เปรียบเสมือนแลนด์มาร์คของเมือง และเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดของฟุกุโอกะอีกด้วย และยังถือเป็นหอคอยริมทะเลที่มีความสูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
ด้วยความสูง 234 เมตร สร้างขึ้นบนที่ดินจากการถมทะเลในอ่าวฮากาตะ และยังมีระบบรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้สูงสุดถึง 7 ริคเตอร์ พื้นที่ของจุดชมวิวแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือชั้นแรกที่ระดับความสูง 116 เมตร ชั้นที่ 2 ที่ความสูง 120 เมตร และชั้นสูงที่สุดที่ระดับความสูง 123 เมตร ซึ่งแม้จะไม่สูงมากเท่าหลายๆตึกในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวหรือโอซาก้า แต่สามารถมองเห็นวิวได้แบบ 360 องศา ทั้งวิวของอ่าวฮากาตะและหมู่เกาะใกล้เคียง รวมถึงตัวเมืองฟุกุโอกะทั้งหมด
การเดินทาง : ขึ้นรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Nishijin จากนั้นเดินต่ออีก 20 นาที หรือขึ้นรถบัสสาย 306 จากหน้าสถานี Hakata มาลงที่ป้ายหน้า Fukuoka Tower ได้ทันที
ค่าเข้าชม : 800 เยน
เวลาเปิดทำการ : 09.30 – 22.00 น.
2. ปราสาทฟุกุโอกะและสวนไมซุรุ (Fukuoka Castle Ruins and Maizuru Park)
ปราสาทฟุกุโอกะถูกสร้างขึ้นโดยคำสั่งของ คุโรดะ นางามาสะ ไดเมียวคนแรกของเมืองฟุกุโอกะในปี 1607 หรือในช่วงยุคเอโดะ
ที่นีี่เป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคิวชูในยุคนั้น แต่น่าเสียดายที่เมื่อประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ ตัวปราสาทหลักได้ถูกทำลายลงเนื่องจากรัฐบาลญี่ปุ่นในขณะนั้นมองว่าปราสาทเป็นตัวแทนของระบบศักดินาในอดีต (ปราสาทอื่นๆในญี่ปุ่นหลายที่ก็ถูกโค่นลงด้วยสาเหตุนี้)
พื้นที่ปัจจุบันของปราสาทฟุกุโอกะถูกปรับให้เป็นสวนสาธารรณะไมซุรุ แต่ยังคงมีบางส่วนของตัวปราสาทในอดีตให้เห็น เช่นกำแพงและหอคอยขนาดเล็ก ในฤดูใบไม้ผลินั้นสวนไมซุรุนั้นยังถือเป็นจุดชมดอกซากุระที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของภูมิภาคคิวชูอีกด้วย เนื่องจากมีต้นซากุระกว่าพันต้นถูกปลูกเรียงรายตามสองฟากฝั่งของคูน้ำและพื้นที่รอบๆ
การเดินทาง : ขึ้นรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Ohorikoen จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 15 นาที
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
เวลาเปิดทำการ : เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง
3. สวนโอโฮริ (Ohori Park)
ติดกับปราสาทฟุกุโอกะและสวนไมซุรุเป็นที่ตั้งของสวนโอโฮริ สวนสาธารณะที่ใหญ่และสำคัญของเมืองฟุกุโอกะ
ลักษณะสวนมีสระน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง โดยสระกินพื้นที่เกือบทั้งหมดของสวนและรอบๆสระจะมีถนนคนเดินล้อม ที่นี่เป็นสวนของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง หากไปในช่วงวันหยุดจะได้เห็นคนญี่ปุ่นออกมาวิ่งจ๊อกกิ้งหรือพาลูกมาเดินเล่นกันเป็นจำนวนมาก ว่ากันว่าในอดีตสระนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบระบายน้ำจากคูเมืองรอบปราสาทฟุกุโอกะ
และนอกจากสวนโอโฮริจะเป็นที่นิยมของชาวเมืองฟุกุโอกะในการมาพักผ่อนหย่อนใจแล้ว ภายในสวนแห่งนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอยู่มากมาย เช่นพิพิธภัณฑ์ศิลปะฟุกุโอกะ (Fukuoka Art Museum) และศาลเจ้าโกโคคุ (Gokoku Shrine) และสวนแห่งนี้ยังถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลสำคัญต่างๆของเมืองฟุกุโอกะอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น
การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Ohorikoen
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
เวลาเปิดทำการ : เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง
Photo by Lemon Loco Designs
4. ศูนย์การค้าคาแนลซิตี้ฮากาตะ แหล่งช้อปปิ้งเบอร์หนึ่งของฟุกุโอกะ (Canal City Hakata)
ศูนย์การค้าคาแนลซิตี้ฮากาตะ เป็นศูนย์การค้าขนาดมหึมาในย่านฮากาตะ ซึ่งประกอบไปด้วยร้านค้า คาเฟ่ และร้านอาหารรวมกันมากกว่า 250 ร้าน รวมไปถึงความบันเทิงหลากหลายรูปแบบทั้งโรงภาพยนตร์ โรงละคร และร้านตู้เกมแบบญี่ปุ่น
จุดเด่นของศูนย์การค้าแห่งนี้คือดีไซน์ โดยมีการขุดคลองไหลผ่านบริเวณชั้นล่างของศูนย์การค้า ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติและผ่อนคลาย นอกจากนี้ศูนย์การค้าแห่งนี้ยังถือเป็นจุดรวมร้านราเม็งชื่อดังต่างๆในประเทศญี่ปุ่นที่มีให้เลือกชิมกันอย่างจุใจ รวมถึงราเม็งท้องถิ่นชื่อดังอย่าง”ฮากาตะราเม็ง” ที่ต้องหาโอกาสชิมให้ได้เมื่อแวะมาเยือนฟุกุโอกะ
การเดินทาง : อยู่ห่างจากสถานี Hakata ด้วยการเดินประมาณ 15 นาที
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
เวลาเปิดทำการ : 10.00 - 21.00 น. (ร้านบางแห่งอาจมีเวลาเปิดปิดแตกต่างออกไปเล็กน้อย)
5. ย่านเท็นจิน อีกหนึ่งย่านช้อปปิ้งใหญ่ของฟุกุโอกะ (Tenjin District)
เมืองฟุกุโอกะยังมีย่านช้อปปิ้งสำคัญที่ไม่ควรพลาดคือย่านเท็นจิน ซึ่งถือว่าเป็นย่านช้อปปิ้งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคิวชูเลยทีเดียว ภายในย่านแห่งนี้มีศูนย์การค้าใหญ่ชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นมารวมตัวกันอยู่มากมาย ทั้งยังมีคาเฟ่และร้านอาหารหลากหลายสไตล์
ส่วนใครที่ชอบสินค้าท้องถิ่นหรืออยากสัมผัสบรรยากาศย่านการค้าแบบญี่ปุ่นแท้ๆมากกว่าเดินห้าง ก็ยังมีถนนคนเดินคาวาบาตะ (Kawabata Shopping Arcade) ย่านช้อปปิ้งเก่าแก่ของฟุกุโอกะ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
นอกจากนี้ยังมี Tenjin Central Park สวนสาธารณะขนาดกลางที่เอาไว้พักผ่อนหย่อนใจแถมยังเป็นปอดของย่านนี้ ทำให้รวมๆแล้วเทนจินเป็นย่านที่มีครบสูตรทั้งชิม ช็อป ชิล ไม่ว่าจะเป็นสายช้อปปิ้ง สายกิน หรือสายเดินชิล ก็สามารถพบกับความประทับใจได้ที่เทนจินแน่นอน
การเดินทาง : ขึ้นรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Tenjin
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
เวลาเปิดทำการ : แล้วแต่ร้านค้าที่ใช้บริการ
6. ร้านอาหารแผงลอยริมแม่น้ำ (Yatai Food Stalls)
สำหรับคนที่คุ้นชินกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น อาจจะเคยได้ยินและเคยสัมผัสร้านกินดื่มสไตล์ญี่ปุ่นอย่างอิซากายะ (Izakaya) กันเป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีร้านอาหารญี่ปุ่นอีกรูปแบบหนึ่งที่มีสเน่ห์และหาดูได้ยากยิ่งกว่า นั่นก็คือ ”ยาไต” หรือร้านอาหารที่เทียบได้กับแผงลอยของไทย ในญี่ปุ่นนั้นแผงลอยแบบนี้หาดูแทบไม่ได้แล้วเพราะหลายๆเมืองจะห้ามไม่ให้ตั้งร้านแบบนี้ด้วยเหตุผลเรื่องความสะอาด (โดยจะมียกเว้นบ้างในช่วงงานเทศกาล)
แต่ละแผงมีที่นั่งไม่มาก ส่วนใหญ่จะขายเมนูง่ายๆอย่าง โอเด้ง ยากิโทริ (ไก่ย่าง) ราเม็ง เท็มปุระ หรือเกี๊ยวซ่า คู่กับสาเกหรือเหล้าชนิดต่างๆ ซึ่งโซนแผงลอยตั้งอยู่ริมแม่น้ำใกล้ย่านช้อปปิ้งเทนจิน มีบรรยากาศที่ครึกครื้นเป็นเอกลักษณ์ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกชิมเมนูหลากหลายได้จากร้านที่เรียงรายกันอยู่กว่า 150 ร้าน
การเดินทาง : เดินข้ามแม่น้ำไปยังเกาะลอยจากฝั่งย่านเทนจิน หรือขึ้นรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Nakasukawabata จากนั้นเดินข้ามแม่น้ำมาก็จะเริ่มพบกับแผงร้านค้าต่างๆ
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
เวลาเปิดทำการ : ตั้งแต่ช่วงเย็นเป็นต้นไป
7. เมืองและศาลเจ้าดาไซฟุ (Dazaifu)
ดาไซฟุเป็นเมืองเก่าแก่ที่ก่อตั้งเมื่อประมาณปี ค.ศ. 700 และมีความสำคัญในฐานะเมืองศูนย์กลางการปกครองภูมิภาคคิวชูมาเป็นเวลากว่า 500 ปี ทำให้เมืองแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากมาย
พระเอกของเมืองนี้คือศาลเจ้าดาไซฟุ (Dazaifu Tenmangu Shrine) ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุกว่าพันปี ซึ่งมีความสวยงามของทั้งซุ้มประตู สะพานข้ามแม่น้ำ รวมไปถึงอาคารหลักของศาลเจ้า และยังมีชื่อเสียงในเรื่องการขอพรทางด้านการเรียน จนทำให้มีเฉพาะนักเรียนนักศึกษาญี่ปุ่นมากมายเดินทางมาขอพรที่ศาลเจ้าแห่งนี้
นอกจากศาลเจ้าดาไซฟุแล้ว ยังมีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆเช่น วัดโคเมียวเซ็นจิ (Komyozen-ji Temple) วัดคันเซอนจิ (Kanzeon-ji Temple) รวมถึงร้านสตาร์บัคสาขาดาไซฟุที่ว่ากันว่าสวยติดอันดับสาขาที่น่านั่งที่สุดในโลก และใกล้ๆกันยังมีพิพิธภัณฑ์แห่งชาติคิวชู (Kyushu National Museum) ที่จะกล่าวถึงในลำดับถัดไป
การเดินทาง : จากสถานี Hakata ขึ้นรถไฟสาย JR Kagoshima Main Line ไปลงที่สถานี Futsukaichi จากนั้นเดินไปที่สถานี Nishitetsu Futsukaichi เพื่อขึ้นรถไฟสาย Nishitetsu Dazaifu ไปลงที่สถานี Dazaifu
ค่าเข้าชม : ศาลเจ้าดาไซฟุเข้าชมฟรี วัดโคเมียวเซ็นจิมีค่าเข้าชม 200 เยน วัดคันเซอนจิมีค่าเข้าชม 500 เยน
เวลาเปิดทำการ : ศาลเจ้าดาไซฟุเปิดทำการตั้งแต่ 6:00 - 19:00 น. วัดโคเมียวเซ็นจิเปิดทำการตั้งแต่ 08.00 – 17.00 น. วัดคันซีออนจิเปิดทำการตั้งแต่ 09.00 – 17.00 น.
8. พิพิธภัณฑ์แห่งชาติคิวชู (Kyushu National Museum)
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติคิวชู เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในเมืองดาไซฟุ ซึ่งถือเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติลำดับที่ 4 ในประเทศญี่ปุ่น ต่อจากเมืองโตเกียว เกียวโต และนารา โดยเพิ่งเปิดทำการเมื่อปี 2005 เป็นต้นมา
มีจุดเด่นตั้งแต่รูปแบบสถาปัตยกรรมภายนอกที่เป็นอาคารกระจกสีฟ้าดูทันสมัย และพื้นที่ภายในนั้นจัดแสดงวัตถุทางประวัติศาสตร์กว่า 900 ชิ้น รวมถึงนิทรรศการที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เป็นต้นมา
ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทอดด้วยวิธีการนำเสนอที่มีความร่วมสมัยและน่าสนใจ เช่นการฉายภาพเคลื่อนไหวและสารคดีในโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ของพิพิธภัณฑ์ที่จอมีความละเอียดสูง รวมถึงกิจกรรมและนิทรรศการพิเศษอื่นๆที่มีการหมุนเวียนกันไปตามแต่ละช่วงเวลา
การเดินทาง : เดินเท้าจากสถานี Dazaifu ผ่านศาลเจ้าดาไซฟุไปประมาณ 800 เมตร
ค่าเข้าชม : 430 เยน
เวลาเปิดทำการ : 09.00 – 17.30 น.
9. ศาลเจ้าฮาโกซากิ (Hakozaki Shrine)
ศาลเจ้าฮาโกซากิ เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ในภูมิภาคคิวชู สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 923 และเป็นหนึ่งในสามศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าเครือ ”ฮาจิมังงู" (Hachimangu) หรือเทพเจ้าแห่งสงครามในประเทศญี่ปุ่น โดยศาลเจ้าที่อยู่ในเครือ ”ฮาจิมังงู" นั้นรวมแล้วมีมากกว่าสี่หมื่นแห่ง!
ภายในศาลเจ้าแห่งนี้มีการปลูกต้นไฮเดรนเยียมากถึง 3,500 ต้น ซึ่งจะบานสะพรั่งในช่วงเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ศาลเจ้าฮาโกซากิยังเป็นศาลเจ้าซึ่งใช้จัดเทศกาลสำคัญของฟุกุโอกะคือ “ทามาเซซาริ” (Tamaseseri) เทศกาลที่จัดขึ้นในวันที่ 3 มกรา ซึ่งจะมีผู้ชายญี่ปุ่นจำนวนมากนุ่งผ้าเตี่ยวเข้าร่วมงานเพื่อแย่งลูกบอลไม้ขนาดใหญ่ พร้อมๆกับโดนสาดน้ำเย็นไปด้วย โดยเชื่อกันว่าลูกบอลนี้จะสามารถป้องกันภัยอันตรายให้กับคนที่ได้มันมาไว้ในครอบครอง
การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Hakozaki-miya-mae
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
เวลาเปิดทำการ : เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง
10. ศาลเจ้าคุชิดะ (Kushida Shrine)
ศาลเจ้าคุชิดะเป็นอีกหนึ่งศาลเจ้าเก่าแก่และมีความสำคัญอย่างมากจนเปรียบเสมือนศาลเจ้าคู่บ้านคู่เมืองของฟุกุโอกะ ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ. 757 และเป็นที่ประทับของเทพเจ้าที่มีนามว่า คุชิดะ (Kushida) หนึ่งในเทพเจ้าของศาสนาชินโต ผู้คนนิยมมาขอพรที่นี่ในเรื่องของการมีอายุยืนยาว และการประสบความสำเร็จในธุรกิจ
ศาลเจ้าแห่งนี้ยังเป็นสถานที่จัดเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฟุกุโอกะ คือเทศกาลฮากาตะ กิออน (Hakata Gion Yamakasa)ในช่วงเดือนกรกฏาคม ซึ่งจะมีขบวนแห่อันสวยงามตั้งต้นจากศาลเจ้าคุชิดะแห่งนี้ และแห่ไปรอบๆตัวเมืองฟุกุโอกะ
การเดินทาง : ขึ้นรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Gion แล้วเดินต่อไปอีกเพียงเล็กน้อย
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
เวลาเปิดทำการ : 04.00 – 22.00 น.