10 ที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาดใน”เกียวโต”
6. ป่าไผ่อาราชิยาม่า (Arashiyama Bamboo Groves)
ป่าไผ่อาราชิยาม่าเป็นสถานที่ชื่อดังของเกียวโตและแลนด์มาร์คสำคัญที่กลายเป็นภาพจำของคนทั่วโลกที่มีต่อประเทศญี่ปุ่น ด้วยบรรยากาศอันสงบร่มรื่น สีเขียวขจีของต้นไผ่สูงเสียดฟ้าตลอดทางเป็นความยาวกว่า 600 เมตร ตั้งอยู่ในย่านอาราชิยาม่า ย่านท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเกียวโต และยังห้อมล้อมไปด้วยภูเขา แม่น้ำสายใหญ่ และธรรมชาติอันงดงาม
พื้นที่ของป่าไผ่อาราชิยาม่านั้นตั้งอยู่ด้านหลังวัดสำคัญแห่งเมืองอาราชิยาม่า คือวัดเท็นริวจิ (Tenryuji) หนึ่งในสถานที่ 17 แห่งของเมืองเกียวโตที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมจากองค์กรยูเนสโก
และเนื่องจากป่าไผ่อาราชิยาม่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จึงขอแนะนำให้เดินทางมาเยือนที่นี่ตั้งแต่ช่วงเช้าก่อนที่เส้นทางสายนี้จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนตลอดทั้งวัน และสามารถเพิ่มบรรยากาศได้ด้วยการเช่าชุดกิโมโนมาเที่ยวเป็นต้น
การเดินทา : ขึ้นรถไฟสาย JR Sagano มาลงที่สถานี Saga Arashiyama จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิดทำการ : เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง
7. ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Shrine)
นอกจากวิวภูเขาไฟฟูจิและป่าไผ่อาราชิยาม่า สถานที่อีกแห่งที่เป็นเหมือนภาพติดตาของคนต่างชาติเวลาพูดถึงญี่ปุ่นก็คือศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ แห่งเมืองเกียวโต ซึ่งน่าจะเป็นที่คุ้นตาของใครหลายๆคนกับภาพของเสาโทริอิสีแดงจำนวนหลายพันต้นที่เรียงรายสุดลูกหูลูกตา จนมีลักษณะเหมือนอุโมงค์ที่ทอดยาวขึ้นไปบนภูเขา ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเป็นที่สถิตของเทพอินาริ เทพแห่งชาวนา การปลูกข้าว การกสิกรรม และความเจริญรุ่งเรือง
ความศรัทธาในเทพเจ้าอินาริของคนญี่ปุ่นนั้นมีมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ในอดีตเพราะผู้คนในประเทศประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก จนกระทั่งในปัจจุบันที่ประเทศญี่ปุ่นมีความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีและมีบริษัทขนาดใหญ่มากมาย ความศรัทธาเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนจากจำนวนเสาโทริอิมากมายที่เหล่าบริษัทห้างร้านต่างๆ นำมาถวายที่ศาลเจ้าแห่งนี้เพื่อขอพรให้กิจการต่างๆของตนมีความเจริญรุ่งเรือง
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าเทพเจ้าอินารินั้นมีร่างจำแลงเป็นสุนัขจิ้งจอก ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้มีสัญลักษณ์รูปสุนัขจิ้งจอกอยู่มากมาย จนหลายๆคนตั้งชื่อเล่นให้ว่าศาลจิ้งจอก ซึ่งไม่ใช่แค่ชื่อเล่นของที่นี่ แต่ศาลเจ้าที่บูชาเทพอินาริหลายๆที่ ก็มักจะถูกเรียกเช่นนี้
การเดินทาง : ขึ้นรถไฟสาย JR Nara มาลงที่สถานี Fushimi หรือขึ้นรถไฟสาย Keihan Main Line มาลงที่สถานี Fushimi Inari
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชม
เวลาเปิดทำการ : เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง
8. พิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งเมืองเกียวโต (Kyoto Railway Musuem)
หลายๆคนอาจคิดว่าเกียวโตนั้นไม่ค่อยมีสถานที่น่าสนใจอื่นๆนอกจากวัด แต่ในความจริงแล้วเกียวโตนั้นมีความเจริญไม่แพ้เมืองอื่นๆในประเทศญี่ปุ่น และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นที่เราอยากแนะนำก็คือ พิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งเมืองเกียวโต ซึ่งดัดแปลงเพิ่มเติมมาจากพิพิธภัณฑ์รถจักรไอน้ำเกียวโต เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีการรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่น
พิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งเมืองเกียวโตนั้นถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีจำนวนรถไฟรุ่นต่างๆมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยในปัจจุบันมีจำนวนขบวนรถไฟจัดแสดงที่นี่ถึง 53 ขบวน ตั้งแต่รถจักรไอน้ำรุ่นต่างๆ จนถึงรถไฟชินคันเซ็นรุ่นแรก (ซีรี่ส์ 0) ในสภาพดี
ด้วยรูปแบบการนำเสนอข้อมูลอันน่าสนใจ ทำให้ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ไม่ได้ชื่นชอบรถไฟเป็นพิเศษก็สามารถเพลิดเพลินและสนุกไปกับโซนต่างๆในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
การเดินทาง : จากสถานีเกียวโตสามารถเดินได้ในเวลาประมาณ 20 นาที หรือสามารถนั่งรถเมล์สาย 86, 88, 103, 104, 110, 205, 208 ลงป้าย Umekoji-koen หรือ Kyoto Railway Museum-mae
ค่าเข้าชม : 1,200 เยน
เวลาเปิดทำการ : 10.00 - 17.30 น.
9. เกียวโตทาวเวอร์ (Kyoto Tower)
หลังจากที่ชมความงามของเมืองเกียวโตในหลากหลายแง่มุมกันไปแล้ว อีกมุมหนึ่งที่ถือว่าพลาดไม่ได้ก็คือการขึ้นมาชมทัศนีย์ภาพของเมืองเกียวโตในมุมสูงจากบนแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองอย่างเกียวโตทาวเวอร์ ซึ่งตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟเกียวโต
เกียวโตทาวเวอร์นั้นมีความสูง 131 เมตร ซึ่งมีที่มาจากจำนวนประชากรทั้งหมดในเมืองเกียวโตจำนวน 1.31 ล้านคนในช่วงเวลาที่เริ่มก่อสร้าง และถือเป็นอาคารสูงที่สุดของเมือง เพราะทางการเกียวโตมีกฏห้ามไม่ให้สร้างอาคารที่สูงเกิน 60 เมตรเพื่อไม่ให้ทำลายทัศนีย์ภาพของเมือง
ที่จุดชมวิวด้านบนของเกียวโตทาวเวอร์นั้น สามารถมองเห็นเมืองเกียวโตได้ทั้ง 360 องศา หนึ่งในไฮไลท์เด่นๆที่สามารถมองเห็นได้จากวิวมุมสูงของที่นี่คือเจดีย์ไม้ห้าชั้นของวัดโทจิ ซึ่งถือเป็นเจดีย์ไม้ที่มีความสูงมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ในอีกมุมหนึ่งก็สามารถมองเห็นรถไฟชินคันเซ็นค่อยๆแล่นมาจอดที่สถานีเกียวโต และในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งนั้นสามารถมองเห็นไปได้ไกลถึงเมืองโอซาก้าอีกด้วย
ช่วงเวลาที่อยากแนะนำเป็นพิเศษก็คือตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ตก ที่จะได้เห็นเมืองเกียวโตถูกอาบไปด้วยแสงสุดท้ายของวันไปจนถึงช่วงพลบค่ำ ซึ่งเป็นบรรยากาศที่แสนโรแมนติกอย่างมาก
การเดินทาง : ออกจากสถานีเกียวโตทางประตูที่อยู่ทิศเหนือ แล้วเดินข้ามถนนมาอีกฝั่งหนึ่ง
ค่าเข้าชม : 750 เยน
เวลาเปิดทำการ : 07.00 - 20.00 น.
10. ตลาดนิชิกิ (Nishiki Market)
ปิดท้ายการเที่ยวเมืองเกียวโตด้วยการช้อปปิ้งและซื้อของฝากในตลาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองเกียวโต ตลาดนิชิกินั้นถือเป็นตลาดเก่าแก่ที่สามารถนับอายุได้เกิน 1300 ปีโดยเริ่มจากการเป็นตลาดปลาที่เน้นส่งสินค้าให้กับพระราชวังในยุคเฮอัน (794-1185)
ตั้งอยู่ในย่านช้อปปิ้งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของเมือง คือย่านคาวารามาชิ (Kawaramachi) ซึ่งพื้นที่ของย่านนี้มีทั้งห้างสรรพสินค้าสมัยใหม่ ร้านแบรนด์เนมต่างๆ และร้านอาหารมากมาย โดยตัวตลาดนั้นจะตั้งอยู่ถัดเข้ามาจากถนนใหญ่ (ถนนชิโจ-โดริ)
ปัจจุบันตลาดนิชิกิประกอบไปด้วยร้านค้ามากกว่า 100 ร้าน มีตั้งแต่ร้านขายอาหารทะเลสดๆ ร้านขนม ร้านผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นต่างๆของเกียวโต ร้านผักและผลไม้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นนักช้อปปิ้งสายไหน ก็มีโอกาสที่จะได้เจอกับของถูกใจที่นี่จนได้ของติดไม้ติดมือกลับไปทุกคน ด้วยรูปแบบสินค้าที่หลากหลายและมีคุณภาพ ราคาไม่แพง ซึ่งขนาดคนญี่ปุ่นเองก็ยังนิยมมาซื้อของในตลาดแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
การเดินทาง : ขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Karasuma ไปลงที่สถานี Shijo
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิดทำการ : 09.00 - 18.00 น.