แจกฟรี ! อีโมจิญี่ปุ่น แบ่งตามความหมาย
อีโมจิหน้ายิ้ม หัวเราะ
ถ้าลองสังเกตดีๆ จะพบว่าอีโมจิหน้ายิ้ม ใช้รูปสามเหลี่ยมเยอะมากๆ แทนปากยิ้มๆนั่นเอง
。o@(^-^)@o。
(*^-^)
(o^∇^o)ノ
(^○^)
(*゚▽゚)ノ
(^▽^)/
ヽ(*^^*)ノ
\(^▽^)/
ヾ(=^▽^=)ノ
ヽ(=´▽`=)ノ
ヾ(@~▽~@)ノ
(*´∇`*)
(⌒▽⌒)
~(^◇^)/
~(^◇^)/
(⌒▽⌒)
ヾ(>▽<)o
((o(>▽<)o))
(ノ∇≦*)
( ̄∇ ̄;)
ヽ( ̄▽ ̄)ノ
ヾ(。ё◇ё。)ノ
( ̄▽ ̄)~
(o ̄∇ ̄o)♪
┌( ̄0 ̄)┐
┌(* ̄0 ̄)┐
Ψ( ̄∇ ̄)Ψ
"└|` ▽ ´|┘
┗|*`0´*|┛
( ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ー ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄)
( ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄────☆ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄ ̄)
( ̄ー ̄)ニヤリ( ̄ ̄ー ̄ ̄)ニヤリ( ̄ ̄ ̄ー ̄ ̄ ̄)ニヤリ
( ( ̄ (ー ̄( ー ̄( ̄ー ̄( ̄ー ̄))
อีโมจิหน้าเศร้า หรือร้องไห้
สังเกตว่าจะมีหลายตัวมากๆที่ใช้ตัวอักษร ; ; แทนน้ำตาไหล
(--,)
( p_q)
o(;△;)o
(:_;)
(Tーヾ)
(;д;)
(*ノ-;*)
(* ハ)
(ノ_σ)
(ρ_;)
(ρ゚∩゚)
p(・・,*)
(ノ_・、)
||||(・・、)
(T△T)
(T_T)
o(T^T)o
o(TヘTo)
((o(;△;)o))
(;へ:)
(TwT。)
(T-T*)フフフ…
อีโมจิสำหรับตอบตกลง
หน้าตาจะแฮปปี้ ยิ้มๆ ซะเป็นส่วนใหญ่สำหรับหน้าอีโมจิที่คนญี่ปุ่นใช้ตอบตกลง
(^-^)/
(^O^)/
\(*^▽^*)ノ
(・_・)/
(。--)ノ
(・o・)ノ
(。-_-。 )
ヽ( ´ ▽ ` )ノ
('0')/
(@`▽´@)/
(*`◇´*)/
(゚ρ゚)ノ
(o゚◇゚)ノ
(o ̄∀ ̄)ノ”
(⌒^⌒)b
( ̄Λ ̄)ゞ
(o‥o)/
♪( *^-゚)/⌒☆゙
(^^)
อีโมจิสำหรับตอบปฏิเสธ หรือห้ามปราม
บางอันดูหน้าเศร้า บางอันดูโมโห หลายๆอันจะใช้ตัวอักษรที่คล้ายๆ X เพื่อแสดงถึงการไขว้มือเป็นรูปกากบาทครับ คนญี่ปุ่นใช้เวลาบอกปฏิเสธน่ะ
(;´Д`)×
( ´ω`)X
ヾ(`◇')ッ!
(;`O´)o
(≧◇≦)乂
乂(≧◇≦ )
Xx(゚〇゚*)Xx(゚◇゚*)
Xx..(゚ロ゚ 三 ゚ロ゚)..xX
x_(・ェ・)
×(゚ω゚ )夕"乂夕"乂( ゚ω゚)×
อีโมจิสำหรับทักทาย (หรือตะโกนเรียก)
สังเกตดีๆ หลายๆหน้าจะอ้าปาก โบกมือตะโกนเรียกครับ
(・」o・)」
(^|0|^)
(・O・)」
(* ̄o ̄)ゝ
o( 〃゜▽゚〃)ゝ
(o゚◇゚)ゝ
(*゚ノO゚)
(^/Oヽ^)
(  ̄0 ̄)Ψ
( 」´0`)」
ヾ(*゚Д゚)人(*゚д゚)ノ
อีโมจิสำหรับบอกลาบ๊ายบาย
หลายๆอันจะมีรูปแขน แสดงถึงการโบกมือครับ ใครจะเติมคำว่า bye เพิ่มเข้าไปให้เข้าใจง่ายก็ไม่ว่ากัน
(^_^)/~~
o(^◇^)/~ ♪
ヾ(◎m◎)
☆\( ^ ^)/~〃。.:*:・'°☆
(=^ー^)ノ彡☆゜・。・゜★
(;_;)/~~
(A◇;)ノ~~~
ヾ(^_^) byebye!!
((w(^∇^)w))
・△・)ノ
ヾ( ´ー`)ノ~
Bye♪ ヾ('-'*)ヾ(*'ー'*)ノ(*'-') /~ Bye♪
ヽ(*'ー')*'ー')*'ー')ノ
ヾ@(o・ェ・)Uo・ェ・)゚Θ゚)^・x・)ノ~~~ババ~イ♪
(*^o^*)/~ バイ (*^-^*)/~バイ (*^▽^*)/~
バヾ(*'O'*)イヾ(*'◇'*)バヾ(*'□'*)ーヾ(*'□'*)イヾ(*'-'*)
ヾ(* ̄▽ ̄*)Byeヾ(* ̄▽ ̄*)Bye
(=⌒ー⌒=)ノ~☆・゚:*:゚BYE:*:゚・☆ヾ(=⌒ー⌒=)
(* ̄ー ̄*)/~~☆'.・.・:★'.・.・:☆'.・.・:★"
♪・:*:・゚★,。・:*:・゚☆(@ ̄∇ ̄@)ノ~~~
See♪ ヾ('-'*)oヾ(*'ー'*)ノo(*'-') /~ You♪
☆':.*^”ヾ(0⌒∇⌒0)ゞ^*.;'☆
(* ̄ー ̄)ノ彡☆゚・。・゚★・。・。☆・゚・
อีโมจิสำหรับแสดงความยินดี
แทบทุกอันต้องมีตัวหนังสือบอก (เพราะว่าหน้ามันซ้ำๆกับหน้ายิ้ม) เช่นคำว่า Congratulation และเนื่องจากอันนี้ก๊อปมาแบบที่คนญี่ปุ่นใช้เลยมีคำว่า 祝 ที่แปลว่าน่ายินดี ติดมาด้วยครับ ลองใส่ภาษาไทยแทนดูก็ดีนะ
Congratulations!!★(*^-゚)⌒☆Wink!
(=^・・^)ノ Congratulations!!
(ノ^^)ノ―――――――※※☆★congratulations!!★☆
.☆.+:^ヽ(∇ ̄*)o♪Congratulations♪o(* ̄∇)ノ^;+.☆.
(*゚▽゚)/゚・:*【祝】*:・゚\(゚▽゚*)
(*'∇')/゚・:*【祝】*:・゚\('∇'*)
(*^◇^)/゚・:*【祝】*:・゚\(^◇^*)
(⌒▽⌒)/゜・:*【ネ兄】*:・゜\(⌒▽⌒)
(* ̄∇ ̄)/゚・:*【祝】*:・゚\( ̄∇ ̄*)
(。TωT)/゚・:*【祝】*:・゚\(TωT。)
(ノ_・。)/゚・:*【祝】*:・゚\(・_・、)
(* ̄(エ) ̄)/゚・:*【祝】*:・゚\( ̄(エ) ̄*)
彡^・∋/゚・:*【祝】*:・゚\∈・^ミ
Uo・ェ・oU/゚・:*【祝】*:・゚\Uo・ェ・oU
.☆.+:^ヽ(∇^*)o【♪祝♪】o(*^∇)ノ^;+.☆.
(*゚▽゚)ノ★+☆【祝】☆+★ヾ(゚▽゚*)
(。・д・)ノ★⌒☆【祝】☆⌒★ヾ(・д・。)
ヽ(*゚▽゚)ノ~▽▼▽[祝]▼▽▼~ヾ(゚▽゚*)ノ
ประวัติของอีโมจิ
เอาละ แจกไปเยอะแล้ว แต่ใครที่สนใจเรื่องประวัติของอีโมจิเริ่มอ่านได้ตั้งแต่ตรงนี้ครับ
แม้จะมีหลายอย่างมาแทนที่ เช่นสติ๊กเกอร์ไลน์หรือภาพเคลื่อนไหวแบบgif แต่อีโมจิก็ยังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการแชทของพวกเรา (แม้ผมเองจะไม่ชอบใช้ก็ตาม) แต่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติที่ทุกๆคนจะใช้อีโมจิคุยกันแทนคำพูด เพราะเร็ว น่ารัก ดุ๊กดิ๊ก และมีสีสันมากกว่าตัวหนังสือลอยๆ แต่ใครรู้บ้างว่าจริงๆแล้ว อีโมจินั้นมีที่มาจากญี่ปุ่น
คำว่า อีโมจิ เองนั้นก็เกิดขึ้นมาจากการนำคำว่า emoji (絵文字) ภาษาญี่ปุ่นมาแปลเป็นอังกฤษตรงๆนั่นเอง แต่คำอ่านแบบญี่ปุ่นนั้นจริงๆแล้วอ่านว่า เอะโมจิ มีความหมายว่า "ตัวหนังสือแบบรูปภาพ"
คำว่าอีโมจินั้นเริ่มใช้จริงครั้งแรกในช่วงปี 1999 โดยที่นักวิจัยของบริษัทโทรศัพท์ของญี่ปุ่น DoCoMo (ชื่อบริษัทนี้ ใครเคยไปทำสัญญาหรือซื้อซิมโทรศัพท์ที่ญี่ปุ่นน่าจะรู้จัก) ซึ่งในตอนแรกทำขึ้นมาเพื่อใช้ในการสื่อสารง่ายๆ ผ่านเมสเสจของโทรศัพท์ โดยพูดสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือเป็นเทคโนโลยีที่แปลงตัวหนังสือที่พิมพ์ลงไป ให้กลายเป็นรูปภาพขนาดเล็กๆ (12*12 พิกเซล) อย่างเช่นเวลาพิมพ์ตัวอักษร :D ลงไป ระบบก็จะแปลงเป็นรูปหน้ายิ้มแป้นสีเหลืองเป็นต้น นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1999 และเป็นครั้งแรกที่คำว่าอีโมจิเริ่มมีการใช้อย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนคนทั่วไป
เรียกได้ว่านี่เป็นหนึ่งใน Subculture ของญี่ปุ่นที่น่าสนใจจริงๆ
รายชื่อบทความที่เกี่ยวข้อง
・6 ศัพท์น่ารู้เกี่ยวกับ Subculture ของญี่ปุ่น
・วัฒนธรรม Subculture ญี่ปุ่นที่คนไทยต้องตะลึง!
คาโอโมจิ (Kaomoji)
แต่ว่าการใช้ภาพใบหน้าแทนคำพูดนั้น จริงๆแล้วมีมาก่อนเทคโนโลยีนี้จะเกิดขึ้นเสียอีก โดยสิ่งที่ใช้กันมาช้านานก่อนที่จะเกิดเทคโนโลยีนั้นเรียกว่า คาโอโมจิ (顔文字) มีความหมายว่า "ตัวหนังสือรูปใบหน้า" โดยคาโอโมจินั้นเป็นคำกว้างๆ ที่รวมถึงตัวหนังสืออะไรก็ตาม ที่พิมพ์ขึ้นมาเพื่อประกอบกันเป็นรูปใบหน้า ทั้งหน้ายิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ เป็นต้น และแน่นอนว่าอิีโมจิ ก็นับเป็นคาโอโมจิ รูปแบบนึงเช่นกัน
แต่ คาโอโมจิ นั้นมีความหมายที่กว้างยิ่งกว่า เพราะรวมไปถึงการวาดภาพใบหน้าด้วยตัวอักษรสัญลักษณ์ต่าง โดยที่ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีแปลงเป็นหน้ายิ้มสีเหลืองๆ ที่กล่าวไปข้างต้นว่าเพิ่งคิดค้นเมื่อ 1999 ก็สามารถนับเป็นคาโอโมจิได้ อย่างเช่น
(^_^)
(*_*)
(´;ω;`)
(〃`・н・´〃)
( ˙ө˙)
ヽ(´∀`。)ノ゚
คุ้นๆมั้ยเอ่ย จริงๆแล้ว ที่เราแจกไปวันนี้ มันเรียกว่า คาโอโมจิ ไม่ใช่อีโมจิครับ
ใบหน้าต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการเอาสัญลักษณ์ต่างๆบนคีย์บอร์ด พิมพ์ออกมาประกอบกัน ซึ่งภาพเหล่านี้แหละที่เรียกว่า คาโอโมจิ และก็เชื่อกันว่าสิ่งนี้แหละที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดอีโมจิและอีโมติคอนในเวลาต่อมา ถ้าพูดกันง่ายๆก็คือเป็นบิดามารดาแห่งอีโมจิ อีโมติคอน ไลน์สติกเกอร์ และสัญลักษณ์รูปใบหน้าในแอปแชทต่างๆทั้งปวงก็ว่าได้
มีหลายแหล่งที่เชื่อว่าใบหน้าเหล่านี้ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในอินเตอร์เน็ตยุคใหม่ บ้างก็ว่าเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคพิมพ์ดีด บ้างก็เชื่อว่าเกิดในยุคคอมพิวเตอร์ที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต
โดยเฉพาะหน้ายิ้ม :-) ที่พิสูจน์กันได้ว่าเกิดขึ้นครั้งแรกโดยชาวอเมริกันตั้งแต่ปี 1982 โดยในขณะนั้น อินเตอร์เน็ตที่เราใช้ๆกันอยู่ทั่วไปยังไม่มี มีแต่ระบบปิดที่เรียกว่า ARPANET ซึ่งเป็นระบบที่มีใช้เฉพาะองค์กรเท่านั้น เป็นหนึ่งในผลงานระหว่างการวิจัยของกลาโหมสหรัฐที่เป็นเหมือนปู่ทวดของอินเตอร์เน็ต แต่กว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ตจริงๆที่คนทั่วไปใช้กันได้นั้นก็ 1989 เพราะฉะนั้นถ้าคิดกันตามจริง แม้จะคิดขึ้่นก่อน แต่ณ เวลานั้น ก็ไม่มีคนทั่วไปที่รับไปใช้จนฮิตแต่อย่างใด
ASCII ART ??
จริงๆก็ไม่ใช่ว่าต้องเป็นหน้าคนนะ อย่างอันนี้เป็นรูปหน้าแมว ที่มีหนวดสองข้างครับ เนื่องจากมีอักษรญี่ปุ่นปนอยู่ จึงพอเดาได้ว่ารูปนี้คิดโดยคนญี่ปุ่น หรือถ้าอยากวาดแมวเต็มๆตัว ก็ทำได้นะครับ
∧ ∧
~ ′ ̄ ̄(´ー`)
UU ̄ ̄ U U
ออกมาเป็นแบบนี้เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ การวาดรูปด้วยตัวอักษรต่างๆที่คีย์บอร์ดมีมาให้ เรียกว่า ASCII art ซึ่งเกิดขึ้นในประมาณยุค 1970-1980 ที่คอมพิวเตอร์เริ่มเป็นที่นิยม โดยคำว่า ASCII (แอสกี้) นั้นหมายถึงระบบการแสดง "อักขระ" ที่ประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลข เครื่องหมาย และสัญลักษณ์ต่างๆรวม 128 ตัว ซึ่งเป็นระบบตัวอักษรที่ใช้ในการป้อนข้อมูลเข้าระบบคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ นั่นเอง
โดยเนื่องจากคนในยุคนั้นยังไม่มี MS Paint หรือโฟโต้ชอป คนที่มีความพยายาม (หรืออาจจะว่าง) ก็เลยคิดค้นการวาดรูปในคอมขึ้นมาด้วยตัวอักษรอย่างเดียว จนเกิดมาเป็น ASCII ART นี่แหละ
รู้มั้ยตัวนี้แปลว่าอะไร
รู้ยังงี้แล้ว มาเดากันดีกว่าว่านี่คืออะไร
แน่นอนว่า แม้จะถูกเรียกเป็น ”ตัวอักษรแทนใบหน้า” แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปหน้าเสมอไป
ใครดูออกมั้ยว่า orz ดูดีๆแล้วเหมือนรูปอะไร (ใครที่แชทกับคนญี่ปุ่นบ่อยๆคงชิน)
นี่เป็นรูปคนคุกเข่า ก้มหน้า แล้วก็เอามือวางกับพื้น แสดงให้เห็นว่าเฟล หมดหวัง ประมาณนั้นครับ ดูออกยัง (ตอนเห็นครั้งแรกผมดูไม่ออกนะ)
くコ:彡
ส่วนนี่คือรูปอะไรใครดูออกบ้าง
มันคือปลาหมึกครับ ปลาหมึกกล้วยวางนอน ซึ่งมีอักษรญี่ปุ่นปนเช่นกันเลยพอเดากันได้ว่าเกิดขึ้นในญี่ปุ่น
แต่คนต้นคิดนั้น ตอนทำคิดอะไรอยู่ อยากชวนเพื่อนไปกินปลาหมึกอย่างหรือเปล่า ก็สุดแล้วแต่ที่เราจะเดากัน
สรุป
อีโมจิ
มาจากคำว่า 絵文字 (Emoji) ในภาษาญี่ปุ่น ปัจจุบันแทบทุกคนทั้งญี่ปุ่น ฝรั่ง ไทย และบริษัทต่างๆ รับคำนี้เอาไว้ใช้กล่าวถึงอักษรภาพรวมๆ ทั้งใบหน้าและไม่ใบหน้า รูปแมว รูปของกิน รูปรถ เรือ เครื่องบิน ก็มักจะเรียกกันว่าอีโมจิทั้งหมดแล้ว ยกเว้นแต่บริษัทไหนที่อยากจะใส่ความยูนิคให้กับระบบของตัวเอง เช่นไลน์ที่เรียกของตัวเองว่าสติกเกอร์เป็นต้น
คาโอโมจิ
Kao แปลว่าหน้า คำว่า 顔文字 (Kaomoji) จึงมักหมายถึงรูปใบหน้าเป็นหลัก (แต่ปัจจุบันถึงไม่ใช่รูปหน้าคนญี่ปุ่นก็โอเค) โดยผู้ที่ใช้ในปัจจุบันเป็นคนญี่ปุ่นซะเยอะ ฝรั่งและไทยไม่ได้รับมาใช้เป็นพิเศษ เป็นคำกว้างๆที่หมายถึงหลายๆอย่าง อะไรก็ได้ ทั้งการวาดภาพด้วย ASCII ART ในตัวอย่างด้านบน ทั้งเทคโนโลยี Emoji ที่ใช้ในปัจจุบัน และอื่นๆมากมาย
และที่สำคัญคือการใช้คำนี้ของคนญี่ปุ่นเองไม่ได้หมายถึงรูปหน้าอย่างเดียวอีกต่อไป แม้ตอนถือกำเนิดจะเน้นใช้แสดงอารมณ์ แต่ในปัจจุบัน แม้จะไม่ได้วาดรูปใบหน้าก็เรียกว่าคาโอโมจิได้ เรียกว่าการใช้คำนั้นจะเริ่มมีความหมายทับซ้อนกับคำว่าอีโมจิไปแล้ว (ในหมู่คนญี่ปุ่น)
ASCII ART
ใช้เรียกศิลปะที่เกิดขึ้นมาจากการนำเอาตัวอักษร 128 ตัวในระบบ ASCII ที่มีใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยุคแรก มาวาดประกอบกันเป็นรูปภาพ แต่ในปัจจุบันใช้เป็นคำกว้างๆ เรียกรูปภาพอะไรก็ตาม ที่ประกอบจากอักษรนับหมื่นแสนในคอมพิวเตอร์ ไม่จำเป็นต้องเป็น 128 อักขระ ตามความหมายในยุคแรกอีกต่อไป
รายชื่อบทความที่เกี่ยวข้อง
・6 ศัพท์น่ารู้เกี่ยวกับ subculture ของญี่ปุ่น
・วัฒนธรรม Subculture ญี่ปุ่นที่คนไทยต้องตะลึง!