วิธีขึ้นรถไฟในญี่ปุ่น ถามคนญี่ปุ่นดีกว่า
ซื้อตั๋วไฟฟ้าไว้ดีไหม
ภาษาญี่ปุ่นเรียก IC Card เจ้าสิ่งนี้คือตั๋วเดินทางอิเลคทรอนิคแบบเติมเงิน ที่คนญี่ปุ่นทุกคนต้องมีติดกระเป๋าอย่างน้อยใบนึงแน่ๆ
สิ่งที่มันทำนั้นก็ง่ายๆ มันคือบัตรเติมเงินนี่เอง ทุกคนสามารถเติมเงินเอาไว้ล่วงหน้าได้ และเวลาใช้ก็เพียงแต่เดินไปที่ประตูตรวจตั๋วแบบในภาพแแล้วแตะเท่านั้นเอง เหมือนกับตั๋วไฟฟ้าของ BTS MRT ของเรานั่นแหละ แต่ญี่ปุ่นโชว์เหนือกว่าด้วยการร่วมมือกันระหว่างบริษัทหลายบริษัททั่วญี่ปุ่น ทำให้บัตรของแต่ละบริษัทสามารถใช้ร่วมกันได้แทบจะทั่วทั้งประเทศนั่นเอง
แม้แต่ในญี่ปุ่นเอง ก็ยังมีรถไฟสายที่ไม่ยอมรับตั๋วแบบนี้ (ต้องใช้ตั๋วกระดาษ) อยู่ไม่น้อยเลย แต่หากเป็น JR ในเมืองใหญ่ๆและพื้นที่ใกล้เคียง รถไฟใต้ดินที่วิ่งในเมืองหลวงหรือเมืองที่เป็นศูนย์กลางของแต่ละจังหวัดแล้วละก็ มีโอกาสที่จะรองรับตั๋วแบบนี้สูงมาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ใช้
ถ้าถามว่าคนที่อยู่ญี่ปุ่นไม่นาน ควรซื้อไว้มั้ย บางคนอาจไม่แนะนำ แต่บางคนก็แนะนำ ด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า รวดเร็ว ไม่ต้องซื้อที่เครื่องทุกครั้ง แถมเอาเข้าจริงแล้วค่าเดินทางด้วยรถไฟแต่ละเที่ยวจะถูกกว่าตั๋วกระดาษที่ซื้อจากเครื่องเล็กน้อยอีกด้วย!
โดยปกติแล้ว ราคาตั๋วรถไฟที่มีเศษ เช่น 251 เยน หากซื้อตั๋วกระดาษจะถูกปัดขึ้นเป็น 260 เยน (เพราะเครื่องขายตั๋วมักไม่รับเหรียญเศษๆ เช่นหนึ่งและห้าเยน) ซึ่งหากซื้อตั๋วไฟฟ้าละก็ เครื่องตรวจตั๋วจะสามารถคิดราคาเราเป็นเศษได้ ทำให้เราเสียแค่ 251 เยน
นอกจากนี้ อีกข้อดีที่สำคัญก็คือ ป้องกันการซื้อตั๋วผิด ซึ่งปกติหากเราซื้อตั๋วผิดละก็ เมื่อถึงปลายทางก็ต้องไปแก้ให้ถูกด้วยการจ่ายเงินเพิ่ม เป็นอะไรที่เสียเวลาไม่น้อย แต่ถ้าใช้ตั๋วนี้ละก็ จะลงที่ไหนก็ได้ จะเปลี่ยนใจระหว่างทางไปลงสถานีอื่นก็ย่อมทำได้
นั่งให้ถูกที่ ดีต่อหัวใจ
หากรถไฟวิ่งผ่านที่ๆวิวสวยๆ แล้วเราอยากชมวิวละก็ การเลือกนั่งข้างซ้ายหรือข้างขวามีผลต่อวิวที่เราจะได้ดูมากทีเดียว อย่างน้อยๆที่สุดเราก็ไม่ต้องลุกจากที่นั่งละ
ตัวอย่างเช่น หากนั่งชินกังเซ็นจากโตเกียวไปโอซาก้าแล้วอยากชมภูเขาฟูจิ เลือกที่นั่งด้านขวาจะดีกว่า แต่ถ้านั่งจากโอซาก้ามาโตเกียวละก็ ต้องเลือกที่นั่งด้านซ้าย เป็นต้น เป็นอีกหนึ่งเทคนิคง่ายๆ แต่มีประโยชน์มากๆ ใครที่วางแผนการเดินทางของตัวเองอย่างละเอียด และใส่ใจมากจนถึงเรื่องการชมวิวระหว่างนั่งรถไฟละก็ ต้องจำเทคนิคนี้ไว้เลย
สำหรับการตรวจสอบว่า อะไรที่อยากดูอยู่ด้านไหนของรถไฟนั้น ก็คงต้องพึ่ง Google Map แล้วล่ะ
ย้อนไปต้นสาย ได้นั่งแน่นอน
เทคนิคนี้มาจากซาลารี่แมนชายชาวญี่ปุ่นแท้ๆ ผู้มีประสบการณ์โชกโชนในการขึ้นรถไฟแน่นๆ (เพราะขึ้นอยู่ทุกวัน)
หากขึ้นรถไฟจากกลางทางละก็ โอกาสที่คนที่ขึ้นจากสถานีก่อนๆหน้า จนรถเต็มก็เป็นไปได้มากทีเดียว โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน แต่เราจะทำอะไรได้ล่ะ
ถ้ามีเวลาและสถานีของเราอยู่ไม่ไกลจากต้นทางละก็ ลองนั่งย้อนศรไปที่ต้นทางก่อน แล้วลงมาขึ้นรถไฟที่วิ่งไปยังทิศทางที่เราต้องการอีกทีนึง ถ้าใช้วิธีนี้ละก็ ก็หาที่นั่งได้ไม่ยากเลย วิธีนี้ ส่วนใหญ่ผู้ใช้คือคนญี่ปุ่นที่ไปทำงานไกลมากๆ แล้วบ้านอยู่ใกล้กับต้นทางมากๆ จนการนั่งย้อนศรไปต้นทางเพื่อหาที่นั่ง คุ้มค่ากว่ายืนเมื่อยตลอดทาง สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเราๆ วิธีนี้อาจจะไม่คุ้ม เพราะงั้นจึงขอดัดแปลงเป็นการ จองโรงแรมที่อยู่ต้นสายรถไฟ แทน ซึ่งวิธีนี้มีประโยชน์อีกอย่างนึงก็คือ อาจจะช่วยประหยัดค่าโรงแรมได้ด้วย! เพราะว่าต้นสายรถไฟที่มุ่งเข้าสู่เมือง มักจะอยู่นอกเมืองซึ่งค่าโรงแรมก็อาจจะถูกกว่าในเมืองได้
ทั้งนี้ การใช้เทคนิคนี้ก็ต้องมีความรู้เรื่องสายรถไฟพอสมควร และที่สำคัญ ต้องตื่นเช้าด้วย เพราะงั้นใครที่ไม่ไหวก็อย่าซีเรียส เทคนิคนี้เป็นอะไรที่ต้องเฉพาะสถานการณ์พอสมควร
จองโรงแรมที่อยู่กลางเมืองสิ
สือเนื่องจากข้อที่แล้ว เทคนิคนั้นเอาเข้าจริงอาจไม่ค่อยเหมาะกับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาจำกัดหรือพักที่โรงแรมซึ่งห่างไกลจากต้นสายรถไฟเท่าไหร่นัก เพราะงั้นเรามาทำตรงกันข้ามโดยการ จองโรงแรมกลางเมืองหรือจองโรงแรมที่อยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องการซะเลย ไอเดียง่ายๆแต่ได้ผลใช่ไหมล่ะ
แน่นอนว่าวิธีนี้ ค่าโรงแรมก็ต้องแพง ห้องก็อาจแคบ จองก็ยากหรืออาจเต็มเร็ว เป็นเรื่องธรรมดา แต่เทคนิคนี้ดีตรงที่เป็นเทคนิคตรงกันข้ามกับเทคนิคก่อนหน้านี้ แถมแก้ปัญหาตรงจุดยิ่งกว่า จาก "ได้นั่งตลอดสาย" เป็น "ไม่ต้องนั่งรถไฟด้วยซ้ำ"
หากคำนวนค่าเดินทาง เวลาที่จะเสียไปแล้วคุ้มละก็ ไม่ว่าใครๆ ก็อยากจองโรงแรมกลางเมืองแน่นอน เพราะค่าเครื่องบินไปเที่ยวแต่ละทีก็แพงอยู่นะ เวลาเที่ยวแต่ละชั่วโมงมีค่านับเป็นเงินได้เลย