ฤดูใบไม้ผลิไม่ได้มีแค่ซากุระ! แนะนำจุดชมดอกไม้ 5 ชนิดในญี่ปุ่น
1. ดอกเนโมฟีล่า : สวนสาธารณะฮิตาชิ ซีไซด์ปาร์ค (Nemophila, Hitachi Seaside Park)
สวนสาธารณะฮิตาชิ ซีไซด์ปาร์ค เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในจังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) ซึ่งมีเนื้อที่กว่าสองพันไร่ โดยครึ่งหนึ่งนั้นคือพื้นที่ของสวนดอกไม้หลากหลายชนิดที่ผลิบานหมุนเวียนกันไปตลอดทั้ง 4 ฤดู และที่นี่ยังมีไฮไลท์สำคัญคือทุ่งดอกเนโมฟีล่า ดอกไม้สีฟ้าอ่อนขนาดเล็กราวกับสีของน้ำทะเลซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งภายในสวนแห่งนี้ได้ปลูกเอาไว้กว่าสี่ล้านต้น ทำให้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนจนถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี นักท่องเที่ยวจะได้เห็นภาพของพรมสีฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาของดอกเนโมฟีล่าที่ผลิบานพร้อมกันอย่างสวยงาม
นอกจากการชมดอกไม้ภายในสวนแล้ว ที่สวนสาธารณะฮิตาชิซีไซด์ปาร์คแห่งนี้ยังมีโซนอื่นๆ ที่มีกิจกรรมอีกหลากหลายรูปแบบ ทั้งโซนสวนสนุก โซนป่า และโซนชายทะเล โดยภายในโซนสวนสนุกนั้นมีเครื่องเล่นกว่า 25 ชนิด โดยมีเเลนด์มาร์คเป็นชิงช้าสวรรค์ความสูง 65 เมตร ส่วนโซนป่านั้นคือโซนหลักที่จะได้พบกับทุ่งดอกเนโมฟีล่า และปิดท้ายที่โซนชายทะเลซึ่งสามารถชมวิวของท้องทะเล และยังมีการปลูกพืชและดอกไม้บางชนิดที่ชอบเติบโตบนพื้นทรายอยู่อีกด้วย
การเดินทาง: สถานี Ajigaura
เวลาเปิดปิด: 9:30 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม: 410 เยน
ช่วงเวลาที่เข้าชมได้: กลางเดือนเมษายน - ต้นเดือนพฤษภาคม (ช่วงพีคอยู่ที่ประมาณวันที่ 22 เมษายน)
ข้อมูลเว็บไซต์เพิ่มเติม: https://hitachikaihin.jp/th/ (ภาษาไทย)
2. ดอกวิสทีเรีย : สวนดอกไม้อาชิคางะ (Wisteria, Ashikaga Flower Park)
สวนดอกไม้อาชิคางะในจังหวัดโทชิงิ (Tochigi) เป็นสวนดอกไม้ที่มีชื่อเสียงเรื่องดอกวิสทีเรียมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยวิสทีเรียเป็นต้นไม้ที่มีจุดเด่นในฐานะไม้เลื้อยที่สามารถแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปรอบๆ ได้เป็นวงกว้าง และทุกกิ่งก้านที่แผ่ออกไปนั้นสามารถผลิช่อดอกไม้ที่ห้อยย้อยลงมาอย่างสวยงาม โดยปกติจะมีดอกสีม่วง แต่ก็มีสีอื่นๆ เช่นกัน
ระหว่างกลางเดือนเมษายนจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี จะมีการจัดงาน “ฟูจิโนะฮะนะ โมโนกาตาริ (Fuji no Hana Monogatari)” ซึ่งเป็นงานที่จะได้สัมผัสกับความงามของดอกวิสทีเรียกว่า 350 ต้นที่ผลิบานไปทั่วทั้งสวนแห่งนี้ และยังมีไฮไลท์สำคัญคือต้นวิสทีเรียใหญ่ประจำสวนที่มีอายุกว่า 150 ปีซึ่งจะผลิดอกไปตามแนวระแนงขนาดกว่า 1,000 ตารางเมตรจนกลายเป็นบรรยากาศที่แสนมหัศจรรย์ นอกจากนี้ยังมีอุโมงค์ดอกวิสทีเรียสีขาวและสีเหลืองความยาว 80 เมตร และยังมีมีการประดับไฟไลท์อัพในยามค่ำคืนอีกด้วย
ภายในสวนแห่งนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น การชิมซอฟต์ครีมดอกวิสทีเรีย และเลือกซื้อสินค้าและของที่ระลึกต่างๆ ที่มีลวดลายของดอกวิสทีเรียประดับอยู่อย่างสวยงาม และก็ยังมีสินค้าบางส่วนที่น่าสนใจสำหรับแฟนการ์ตูนเรื่อง "ดาบพิฆาตอสูร" อยู่อีกด้วย เนื่องจากผู้เขียนการ์ตูนเรื่องนี้ได้เขียนให้ดอกวิสทีเรียนั้นเป็นดอกไม้ที่สามารถขับไล่เหล่าอสูรได้
การเดินทาง: สถานี Ashikaga Flower Park
เวลาเปิดปิด: (ระหว่างเทศกาลชมดอกวิสทีเรีย) 07:00 – 21:00 น.
ค่าเข้าชม: กลางวัน 900 เยน กลางคืน 600 เยน
ช่วงเวลาที่เข้าชมได้: กลางเดือนเมษายน - กลางเดือนพฤษภาคม
ข้อมูลเว็บไซต์เพิ่มเติม: https://www.ashikaga.co.jp/thailand/index.html (ภาษาไทย)
3. ดอกทิวลิป : สวนมุระมัตสึ (Tulip, Muramatsu Park)
ดอกทิวลิปนั้นเป็นพืชเมืองหนาวที่หลายคนคุ้นเคยกันดี และยังสามารถพบได้ในสวนดอกไม้หลายแห่งในญี่ปุ่น แต่จุดชมดอกทิวลิปที่เราอยากแนะนำก็คือ สวนมุระมัตสึในจังหวัดนีงาตะ (Niigata) ความพิเศษของสวนแห่งนี้ก็คือการได้รับยกย่องให้เป็น 1 ใน 100 สถานที่ชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น บวกกับจำนวนดอกทิวลิปที่มีการปลูกเอาไว้กว่าหนึ่งล้านห้าแสนต้น ทำให้สวนแห่งนี้เป็นสถานที่คุ้มค่าแก่การมาเยือนทั้งเพื่อชมความสวยงามของดอกซากุระ ควบคู่ไปกับทุ่งดอกทิวลิปกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาบนพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 18 ไร่
โดยดอกซากุระที่สวนแห่งนี้จะเริ่มบานในช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนเมษายน ซึ่งในเวลาเดียวกันนี้ก็จะมีทั้งการจัดเทศกาลชมดอกซากุระ ซึ่งจะมีการออกร้านขายของและอาหารหลากหลายชนิด รวมถึงการจัดแสดงไฟไลท์อัพ (Light Up) ยามค่ำคืน ส่วนดอกทิวลิปนั้นจะผลิบานต่อเนื่องยาวไปจนถึงช่วงเดือนพฤษาคม
การเดินทาง: สถานี Gosen แล้วต่อรถบัสมาอีก 30 นาที
เวลาเปิดปิด: เปิด 24 ชั่วโมง
ค่าเข้าชม: เข้าชมฟรี
ช่วงเวลาที่เข้าชมได้: 3 เมษายน 2022 - 18 เมษายน 2022
ข้อมูลเว็บไซต์เพิ่มเติม: https://niigata-kankou.or.jp/spot/5682 (ภาษาญี่ปุ่น)
4. ดอกอาซาเลีย : ศาลเจ้าเนซุ (Azalea, Nezu Shrine)
ดอกอาซาเลีย หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าดอกซึซึจิ (Tsutsuji) เป็นดอกไม้ป่าที่มักจะปลูกไว้ตามเนินเขา หรือขึ้นอยู่ตามยอดเขา และมีดอกหลากสีสัน ในญี่ปุ่นนั้นมีทั้งจุดที่สามารถชมดอกอาซาเลียที่ผลิบานอยู่กลางป่าบนภูเขาจริงๆ รวมถึงตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ภายในเมืองที่ให้บรรยากาศในอีกรูปแบบ โดยจุดชมดอกอาซาเลียที่น่าสนใจและเดินทางได้สะดวกแห่งหนึ่งก็คือที่ศาลเจ้าเนซุในโตเกียว (Tokyo)
ตัวศาลเจ้านั้นมีอายุกว่า 300 ปี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งชาติ และมีจุดเด่นตรงที่ตัวอาคารไม้สีแดงสด รวมถึงมีอุโมงค์เสาโทริอิสั้นๆ คล้ายกับศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริที่เกียวโต และในศาลเจ้าแห่งนี้มีสวนที่ปลูกต้นอาซาเลียไว้กว่าสามพันต้น โดยในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคมก็จะมีการจัดเทศกาลชมดอกอาซาเลียขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้เห็นภาพของพุ่มอาซาเลียหลากสีสันที่ปลูกไล่ระดับอยู่ตามเนิน คู่กับบรรยากาศและตัวอาคารของศาลเจ้าที่ให้บรรยากาศแบบญี่ปุ่นโบราณอันน่าประทับใจ
จากศาลเจ้าแห่งนี้ สามารถเดินไปเที่ยวย่านยานะเซน ที่ประกอบกันด้วยพื้นที่สามแห่งคือยานากะ เนซุ และเซ็นดางิ ซึ่งมีเสน่ห์ที่ผสมผสานกันทั้งด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิต มีจุดท่องเที่ยวชื่อดังเช่น "ยานากะกินซ่า" ที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศญีปุ่่นแบบย้อนยุค และมีร้านขายของและคาเฟ่น่ารักๆ อยู่เป็นจำนวนมาก
การเดินทาง: สถานี Nezu หรือ Todaimae
เวลาเปิดปิด: 6:00-17:00 น.
ค่าเข้าชม: 300 เยน
ช่วงเวลาที่เข้าชมได้: 2 เมษายน 2022 - 1 พฤษภาคม 2022
ข้อมูลเว็บไซต์เพิ่มเติม: http://www.nedujinja.or.jp/tutuji/tutuji.htm (ภาษาญี่ปุ่น)
5. ดอกกุหลาบ : สวนคิวฟุรุคาวะ (Rose, Kyu-Furukawa Gardens)
จากดอกอาซาเลียในบรรยากาศแบบญี่ปุ่น มาสู่การชมดอกกุหลาบแสนสวยในบรรยากาศสไตล์ยุโรปที่สวนคิวฟุรุคาวะในโตเกียว (Tokyo) อีกเช่นเคย แต่เดิมนั้นเป็นบ้านพักส่วนบุคคลของตระกูลฟุรุคาวะ และมีความโดดเด่นจากสวน 2 แห่ง โดยที่สวนหนึ่งใช้ดีไซน์และสไตล์แบบตะวันตก และอีกสวนหนึ่งนั้นเป็นส่วนสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม และมีคฤหาสน์สไตล์ตะวันตกที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น
ในส่วนของสวนสไตล์ตะวันตกนั้นได้รับการออกแบบโดยโจเซีย คอนเดอร์ ผู้ที่ได้รับสมญานามว่า “บิดาแห่งสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่น” และได้รับความนิยมเป็นพิเศษในเดือนพฤษภาคมเนื่องจากมีดอกกุหลาบกว่า 100 ชนิดผลิบานพร้อมๆ กัน คู่กับฉากหลังที่เป็นคฤหาสน์สไตล์ตะวันตกเก่าแก่ และยังมีการจัดงานชมดอกกุหลาบขึ้นเป็นพิเศษในช่วงเวลานี้อีกด้วย
จากสวนแห่งนี้ สามารถแวะเที่ยวย่านการค้าชิโมะฟุริกินซ่า ย่านการค้าที่ให้บรรยากาศแบบย้อนยุค และสามารถสัมผัสถึงความเป็นมิตรและวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนในแถบนั้นได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีทั้งคาเฟ่และร้านขายของสำหรับนักท่องเที่ยว ไปจนถึงร้านขายผักและร้านขายสินค้าสำหรับคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น
การเดินทาง: สถานี Kami-Nakasato หรือ Nishigahara
เวลาเปิดปิด: 9:00-17:00 น.
ค่าเข้าชม: 150 เยน
ช่วงเวลาที่เข้าชมได้: ต้นเดือนพฤษภาคม - ต้นเดือนมิถุนายน
ข้อมูลเว็บไซต์เพิ่มเติม: http://www.otanimuseum.or.jp/kyufurukawatei/ (ภาษาญี่ปุ่น)
ผู้เขียน: ชินพงศ์ มุ่งศิริ
เริ่มต้นทำงานเป็นช่างภาพอิสระหลังเรียนจบ เดินทางไปถ่ายภาพที่ประเทศญี่ปุ่นบ่อยครั้งจนครบทั้ง 4 ฤดูอันสวยงาม และเกือบครบทุกภูมิภาค มีผลงานภาพถ่ายตีพิมพ์ในไกด์บุ๊คระดับโลกอย่าง Lonely Planet ถึง 3 เล่ม คือ Discovery Japan, Japan และ Kyoto รวมถึงเว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำอย่าง National Geographic Traveler UK, BBC Travel, Travel+Leisure, TIME และอีกมาก
นอกจากการถ่ายทอดความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นผ่านภาพถ่าย ปัจจุบันยังหันมาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านทางตัวอักษรทั้งในฐานะนักเขียนและนักแปลควบคู่กันไปอีกด้วย