ปลาบนหลังคาปราสาทคืออะไร และปราสาทลอยฟ้าทั้ง 6
หลายๆ คนอาจสังเกตเห็นว่าบนหลังตาปราสาทของญี่ปุ่นหลายๆ แห่งจะมีปลาประดับอยู่ด้วย เราจะมาทำความรู้จักปลาบนหลังคาปราสาทกัน และแนะนำปราสาทที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดปราสาทลอยฟ้าของญี่ปุ่น 6 แห่งกันดีกว่า ใครที่อยากลองเที่ยวปราสาทในมุมที่แตกต่างไปจากเดิมต้องไม่พลาดบทความนี้ เพราะคุณจะได้รู้จักกับ Unseen Japan ที่จะพาคุณไปสัมผัสกับทัศนียภาพที่ไม่เหมือนที่ไหน
ปลาหัวเสือบนหลังคาปราสาทคืออะไร
คนที่เคยไปเที่ยวปราสาทญี่ปุ่นหลายแห่งคงเคยสังเกตเห็นสิ่งประดับบนหลังคาปราสาทที่รูปร่างคล้ายปลาสะบัดปลายหางขึ้นท้องฟ้ากันบ้างละ เจ้าปลาที่อยู่บนหลังคาปราสาทนี้ญี่ปุ่นเรียกว่าชาจิโฮโกะ หรือปลาหัวเสือนั่นเอง
ชาจิโฮโกะ (Shachihoko) เป็นสัตว์ในตำนานตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น ลำตัวเป็นปลาขนาดใหญ่และมีหัวเป็นเสือ ครีบและหางแผ่กว้างชี้ขึ้นท้องฟ้าอยู่เสมอ และส่วนของครีบหลังมีหนามแหลมคมเป็นจำนวนมาก อาศัยอยู่ในมหาสมุทรที่หนาวเยือก สามารถกลืนน้ำจำนวนมหาศาลเก็บไว้ในท้องได้ในอึกเดียว และยังสามารถเรียกเมฆและควบคุมฝนได้ เมื่ออยู่บนบกชาจิโฮโกะก็สามารถแปลงเป็นเสือได้อย่างสมบูรณ์อีกด้วย
ว่ากันว่าต้นกำเนิดของชาจิโฮโกะมาจากมาคารา (Makara) ซึ่งเป็นสัตว์ประหลาดในท้องทะเลที่มีลักษณะเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งปลาในเทพนิยายฮินดูของอินเดีย ภาพของมาคาราถูกนำมาใช้กับสถาปัตยกรรมของวัดในอินเดีย
ชาจิโฮโกะจึงถูกนำไปสร้างประดับตามจั่วบนหลังคาของสิ่งก่อสร้างแบบสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น ที่พบเห็นได้บ่อยคือปราสาทญี่ปุ่น ด้วยมีความเชื่อว่าหากเกิดเพลิงไหม้ ชาชิโฮโกะสามารถปกป้องอาคารได้โดยการเรียกเมฆฝนหรือโดยการพ่นน้ำจำนวนมหาศาลจากที่กลืนเข้าไปเก็บในท้อง
แนะนำ 6 ปราสาทลอยฟ้าที่ไม่ควรพลาด
นอกจากเรื่องราวของปลาหัวเสือบนหลังคาปราสาทแล้ว วันนี้พวกเราทีมงาน All About Japan ก็ได้รวบรวมและคัดสรรข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทลอยฟ้ามาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ปราสาทลอยฟ้านั้นหมายถึงปราสาทที่มีหมอกปลกคลุมโดยรอบทำให้ดูเหมือนว่ากำลังล่องลอยอยู่จริงๆ และความสวยงามเหนือสายหมอก ดั่งสถานที่บนสรวงสวรรค์ ความงดงามที่เป็นเอกลักษณ์ เสน่ห์ที่น่าหลงไหลนั้นดึงดูดให้เหล่านักท่องเที่ยวต่างมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก มีที่ไหนน่าสนใจบ้างเราไปชมพร้อมๆ กันเลยดีกว่า
1. ปราสาททาเคดะ จังหวัดเฮียวโงะ (Takeda Castle Ruins, Hyogo)
ปราสาททาเคดะ (Takeda Castle) ตั้งอยู่ที่เมืองอาซาโงะ (Asago) จังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) ที่นี่เป็นจุดชมวิวหมอกยามเช้าที่ขึ้นชื่อจนได้รับการขนานนามว่าปราสาทลอยฟ้า (Castle in the Sky) ของญี่ปุ่น และมีอีกฉายาว่ามาชู ปิกชู (Machu Picchu) หรือเมืองสาบสูญแห่งอินคาของญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ปัจจุบันเหลือแต่ฐานปราสาทเพราะถูกทำลายในสงครามเซกิงาฮาระ (Sekigahara) ช่วงที่จะเกิดทะเลหมอกปกคลุมบริเวณรอบปราสาท จนทำให้ปราสาทเสมือนกับล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าคือราวๆ เดือนกันยายนไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน หากต้องการชมวิวทะเลหมอกก็ต้องขึ้นปราสาทตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ไปจนถึงประมาณ 08.00 น. แต่การจะได้เห็นหมอกหนาล้อมรอบปราสาทก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น อุณหภูมิระหว่างวัน และกระแสลมด้วย
การเดินทาง
ขึ้นรถไฟสาย JR Bantan Line จากสถานี Himeji ไปลงสถานี Takeda สามารถเดินขึ้นไปยังซากปราสาทได้ในเวลาประมาณ 30 นาที
2. ปราสาทอาคางิ จังหวัดมิเอะ (Akagi Castle, Mie)
ปราสาทอาคางิ (Akagi Castle) ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ระดับความสูง 230 เมตร บริเวณโดยรอบเป็นแอ่งที่ราบลุ่มขนาดเล็กและพื้นที่ทำนา ล้อมรอบด้วยภูเขาคิอิ (Mt.Kii) ในเมืองคุมาโนะ (Kumano) จังหวัดมิเอะ (Mie) ได้รับการคุ้มครองให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1989 และติด 1 ใน 100 ปราสาทที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของญี่ปุ่น
ปราสาทนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1586 โดยคำสั่งของโทโยโทมิ ฮิเดนางะ (Toyotomi Hidenaga) น้องชายของโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพังมีกำแพงหินและคูเมืองบางส่วน สามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี ฤดูใบไม้ผลิมีซากุระให้ชม ฤดูใบไม้ร่วงก็มีใบไม้เปลี่ยนสีสวยงาม ช่วงตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนธันวาคม หากขึ้นไปชมปราสาทในตอนเช้าตรู่จะมีหมอกปกคลุมหนา จึงเป็นอีกหนึ่งปราสาทที่ได้ชื่อว่าเป็นปราสาทลอยฟ้าของญี่ปุ่น
การเดินทาง
ขึ้นรถไฟเจอาร์คิเซสายหลัก (JR Kisei Main Line) ไปลงสถานีคุมาโนะชิ (Kumanoshi Station) แล้วต่อแท็กซี่ไปอีกประมาณ 35 นาที
3. ปราสาทสึวาโนะ จังหวัดชิมาเนะ (Tsuwano Castle, Shimane)
ปราสาทสึวาโนะ (Tsuwano Castle) ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง 200 เมตรของเมืองสึวาโนะ (Tsuwano) จังหวัดชิมาเนะ (Shimane) ชื่อเดิมของปราสาทตอนสร้างขึ้นครั้งแรกโดยโยริยุกิ โยชิมิ (Yoriyuki Yoshimi) เมื่อปลายศตวรรษที่ 12 คือปราสาทซัมบงมัตสึโจ (Sanbonmatsu-jo) ต่อมาในช่วงราวต้นปี ค.ศ. 1600 ได้มีการสร้างกำแพงหินเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นตัวปราสาทก็ถูกฟ้าผ่าและมีเพลิงลุกไหม้จนได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ ปัจจุบันจึงเหลือเพียงซากปรักหักพังของปราสาท
อย่างไรก็ตามปราสาทยังคงน่าเที่ยวชม บนปราสาทก็มีจุดชมวิวทิวทิศน์ที่สวยงามของเมืองสึวาโนะ นอกจากนี้ช่วงฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงฤดูหนาวราวปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนจะเกิดหมอกหนายามเช้าจนกลายเป็นปราสาทลอยฟ้าที่ลึกลับ
การเดินทาง
จากสถานีเจอาร์สึวาโนะ (Tsuwano Station) เดินไปถึงสถานีกระเช้าลอยฟ้าประมาณ 30 นาที และขึ้นกระเช้าไปยังสถานีด้านบน ใช้เวลา 5 นาที หลังจากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 15-20 นาที
4. ปราสาทบิตชู มัตสึยามะ จังหวัดโอคายามะ (Bitchu Matsuyama Castle, Okayama)
ปราสาทบิตชู มัตสึยามะ (Bitchu Matsuyama Castle) ตั้งอยู่ที่เมืองทาคาฮาชิ (Takahashi) จังหวัดโอคายามะ (Okayama) บนภูเขากะงิว (Mt.Gagyu) ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 430 เมตร จึงเป็นปราสาทที่อยู่สูงที่สุดของญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดา 12 ปราสาทดั้งเดิมสมัยเอโดะที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน และเป็นปราสาทที่ตั้งบนภูเขาเพียงปราสาทเดียวใน 12 ปราสาทดังกล่าวนี้
อีกทั้งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น ตัวโครงสร้างของปราสาทในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากปราสาทตัวแรกตามการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองสมัยนั้น ช่วงเวลาที่จะมองเห็นหมอกหนาปกคลุมรอบปราสาทจนเหมือนปราสาทลอยอยู่กลางเมฆคือเวลาประมาณตี 5 ครึ่งถึง 7 โมงกว่าๆ ของปลายเดือนกันยายนไปจนถึงต้นเดือนเมษายน โอกาสที่จะเกิดหมอกหนามากที่สุดอยู่ราวเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน
การเดินทาง
นั่งรถไฟ JR จากตัวเมืองโอคายามะไปลงที่สถานีบิตชู ทาคาฮาชิ (Bitchu-Takahashi Station) จากนั้นต่อแท็กซี่หรือรถ City Loop Bus หรือ Youme Town Shuttle Bus ไปลงป้ายมัตสึยามะโจ โทซังงุจิ (Matsuyama-jo Tozanguchi) แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร
5. ปราสาทเอจิเซ็น โอโนะ จังหวัดฟุคุอิ (Echizen Ono Castle, Fukui)
ปราสาทเอจิเซ็น โอโนะ จังหวัดฟุคุอิ (Echizen Ono Castle) ตั้งอยู่บนเขาคาเมยามะ (Mt.Kameyama) ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 249 เมตร เป็นหนึ่งในปราสาทลอยฟ้าของญี่ปุ่นที่มีทิวทัศน์งดงาม ห่อหุ้มด้วยหมอกหนาเหมือนในเทพนิยายและโอบล้อมด้วยภูเขาทั้งสี่ทิศ
ปราสาทเอจิเซ็น โอโนะสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1575 แต่ต่อมาถูกไฟไหม้และถูกทำลายอีก 2 ครั้ง ตัวปราสาทในปัจจุบันนี้เป็นปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปีค.ศ.1968 ทำด้วยคอนกรีตและยังคงรูปลักษณ์แบบของเดิม ช่วงเวลาที่มีโอกาสเห็นทะเลหมอกคือเช้าตรู่จนถึงไม่เก็น 9 โมงของเดือนตุลาคมถึงเดือนเมษายน ช่วงเดือนพฤศจิกายนจะมีโอกาสได้เห็นมากที่สุด
การเดินทาง
ขึ้นรถไฟสายเอ็ตสึมิโฮกุ (Etsumihoku Line) จากสถานีฟุคุอิ (Fukui Station) ไปลงสถานีเอจิเซ็น โอโนะ (Echizen Ono Station) จากนั้นขึ้น Keifuku Bus หมายเลข 55 สายโอโนะ (Ono Line) ไปลงป้าย Ono Rokken แล้วเดินต่อไปอีกเล็กน้อย
6. ปราสาทกุโจฮาจิมัง จังหวัดกิฟุ (Gujo Hachiman Castle, Gifu)
กล่าวกันว่าปราสาทกุโจฮาจิมัง (Gujo Hachiman Castle) เป็นปราสาทบนภูเขาที่มีบรรยากาศและวิวคู่กับปราสาทสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น และปราสาทกุโจฮาจิมังก็เป็นปราสาทที่มีสถาปัตยกรรมงดงามที่สุดในบรรดาปราสาทที่ตั้งอยู่บนเขาด้วยกัน
ที่นี่เป็นปราสาทอีกแห่งที่ได้ชื่อว่าเป็นปราสาทลอยฟ้า เนื่องจากตัวปราสาทตั้งอยู่บนภูเขาทำให้ยามที่หมอกลงมาปกคลุมไปทั่วบริเวณรอบปราสาทจะมีเพียงตัวปราสาทที่อยู่บนยอดเขาลอยเด่นขึ้นมาเหมือนกับปราสาทกำลังลอยอยู่ในหมู่เมฆ ช่วงเวลาที่มีโอกาสจะได้เห็นทะเลหมอกคือปลายเดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนมกราคม เวลาเช้าตรู่ไม่เกิน 8 โมงเช้า
การเดินทาง
จากสถานี JR Nagoya ขึ้นรถไฟขบวน Ltd Exp View Hida ไปลงสถานีมิโนโอตะ (Minoota Station) จากนั้นเปลี่ยนขบวนเป็นรถไฟสาย Nagaragawa นั่งไปลงที่สถานีกุโจฮาจิมัง (Gujo-hachiman Station) ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที แล้วต่อแท็กซี่ไปอีกประมาณ 15 นาที
ผู้เขียน: hikawasa
หลังจากจบป.ตรีก็เริ่มงานในสายล่ามที่บริษัทญี่ปุ่นเช่น Satake Thailand, Hitachi Engineering & Services และรับงานล่ามให้นิตยสาร Custom Car ไปล่ามให้ตามงาน Motor Expo สักพักออกไปเรียนป.โทต่อที่ธรรมศาสตร์ ตอนทำวิทยานิพนธ์ ทาง Japan Foundation ให้ทุนนักศึกษาไปเก็บข้อมูลวิจัย ได้เห็นญี่ปุ่นในหลายมุม ปัจจุบันเป็นนักแปลฟรีแลนซ์ให้ Bongkoch Publishing, Siam Inter Multimedia Publishing, MEB Corporation ที่ทำสื่อดิจิทัลอีบุ๊คชั้นแนวหน้าของไทย และอีกมากมาย ได้โอกาสมาเป็นนักเขียนบทความท่องเที่ยวให้ AAJ ด้วย