สุดไฮโซ! 4 คาเฟ่แบรนด์หรู Hi-End สำหรับสายช้อป
ญี่ปุ่นนอกจากจะมีคาเฟ่น่ารักๆ หรือคาเฟ่อีกนานาชนิดที่น่าสนใจแล้ว ยังมีแบรนด์หรูอีกจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น Louisvuitton หรือ Dior ที่เปิดคาเฟ่เป็นของตัวเองเพื่อรองรับลูกค้าและมอบประสบการณ์การใช้บริการคาเฟ่แบบสุดหรู โดยวันนี้เราได้เลือกคาเฟ่จาก 4 แบรนด์ดังมาแนะนำ ซึ่งรับรองว่าได้ทั้งประสบการณ์ที่น่าประทับใจ และยังได้รูปสวยๆ มาโพสต์บนโซเชี่ยลอีกด้วย
1. คาเฟ่ TIFFANY&Co.
คาเฟ่ของแบรนด์เครื่องประดับหรูสัญชาติอเมริกันที่มีสาขาแรกอยู่ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา และที่ย่านฮาราจูกุ ประเทศญี่ปุ่นเป็นสาขาที่สอง จุดเด่นของร้านคือการตกแต่งด้วยสีฟ้า สีขาว และสีทองที่ให้ความรู้สึกหรูหราและทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้เป็นเซเล็บ โดยตัวคาเฟ่จะมีทั้งเครื่องดื่มและเบเกอรี่อร่อยๆ หลากหลายรูปแบบ เช่น ครัวซองค์ บราวนี่ และฮอทด็อก รวมถึงคุกกี้ในแพ็คเกจน่ารักๆ ที่สามารถซื้อเป็นของฝากได้
นอกจากนี้ ภายในร้านยังมีมุมต่างๆ ที่สร้างไว้เพื่อให้ลูกค้าสามารถถ่ายรูปสวยๆ โดยเฉพาะ และที่สำคัญคือนอกจากเครื่องดื่มและเบเกอรี่แล้ว ที่คาเฟ่แห่งนี้ยังมีน้ำหอมและเครื่องประดับหลากหลายรูปแบบจากทางแบรนด์วางจำหน่ายอีกด้วย
ซึ่งจุดที่ไม่เหมือนใครที่สุดก็คือตู้ขายน้ำหอมอัตโนมัติสีฟ้าสดใสที่ตั้งอยู่หน้าร้าน และเนื่องจากเป็นคาเฟ่ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ทางร้านจึงมีระบบทั้งการจองล่วงหน้าทางเว็บไซต์ หรือการสแกนคิวอาร์โค้ดหน้าร้านเพื่อสามารถแวะไปเดินเล่นฆ่าเวลาที่อื่นก่อนได้ และจะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อถึงคิวตัวเอง
การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน สถานี Meiji-jingumae
เวลาเปิดปิด: 11.30 – 18.30 น.
2. LE CAFE V (Louis Vuitton)
LE CAFE V เป็นร้านอาหารและคาเฟ่ของแบรนด์ Louis Vuitton แห่งแรกในโลก โดยตัวร้านจะเป็นส่วนหนึ่งของร้านหลุยส์ วิตตอง เมซง โอซาก้า มิโดซูจิ ( Louis Vuitton Maison Osaka Midosuji) ซึ่งเป็นแฟลกชิพสโตร์ของแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองโอซาก้า โดยตัวคาเฟ่จะตั้งอยู่บริเวณชั้นบนสุดของอาคาร และล่าสุดเพิ่งมีการเปิดสาขาที่สองที่ร้านหลุยส์ วิตตอง กินซ่า นามิกิ (Louis Vuitton Ginza Namiki) ในโตเกียวไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
โดยพื้นที่ของคาเฟ่ของทั้งสองสาขาจะมีทั้งโซนบาร์ที่เสิร์ฟเครื่องดื่มสบายๆ ทั้งชา กาแฟ และค็อกเทลเพื่อผ่อนคลายหลังจากการเดินช้อปปิ้ง พร้อมทั้งเสิร์ฟขนมหลากหลายรูปแบบเค้ก ทาร์ต และช็อคโกแลต และมีโซนกลางแจ้งเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ โดยพื้นที่ทุกส่วนได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามและหรูหราตามสไตล์ของแบรนด์ และแน่นอนว่าแทบทุกมุมของร้านนั้นเหมาะกับการถ่ายรูปสวยๆ เพื่อโพสต์ลงโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คอย่างมาก
การเดินทาง: สาขาโอซาก้า รถไฟใต้ดิน สถานี Namba หรือ Shinsaibashi
สาขาโตเกียว รถไฟใต้ดิน สถานี Ginza
เวลาเปิดปิด: 11.00 น. – 20.30 น.
3. Cafe Dior by Pierre Herme
คาเฟ่ของแบรนด์ชื่อดังจากฝรั่งเศส ซึ่งจับมือกับ Pierre Herme เชฟขนมหวานชาวฝรั่งเศสที่โด่งดังและมีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบัน โดยคาเฟ่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่อาคาร Ginza Six ในย่านกินซ่า โดยบริเวณชั้นใต้ดินจนถึงชั้น 4 ของอาคารแห่งนี้จะเป็นตัวร้านของแบรนด์ Dior และตัวคาเฟ่จะตั้งอยู่บริเวณส่วนหนึ่งของชั้น 4
ขนมเกือบทุกแบบที่เสิร์ฟภายในคาเฟ่จะเป็นขนมสไตล์ฝรั่งเศส แต่ปรุงด้วยวัตถุดิบท้องถิ่นในญี่ปุ่นที่ผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี และยังมีการตกแต่งจานอย่างประณีต โดยหนึ่งในเมนูยอดนิยมก็คือเซ็ต Afternoontea ที่เสิร์ฟชาชั้นดีพร้อมกับขนมน่าทานหลากหลายรูปแบบ และยังแฝงไว้ด้วยความสวยงามหรูหรา และยังมีเซ็ทขนมเบาๆ อย่างเซ็ทบรั้นช์ หรือเซ็ทแซนวิชให้เลือกอีกด้วย
การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน สถานี Ginza
เวลาเปิดปิด: 10.30 – 20.30 น.
4. BVLGARI La Terrazza Lounge
คาเฟ่ของแบรนด์ BVLGARI ที่มาในบรรยากาศสบายๆ สไตล์รูฟท็อป โดยตั้งอยู่ที่ชั้นดาดฟ้าของอาคาร Ginza Tower โดยเสิร์ฟทั้งชุดอาหารกลางวัน ชุดอาฟเตอร์นูนที และเซ็ทขนมกับเครื่องดื่มต่างๆ โดยระหว่างทานอาหารและเครื่องดื่มนั้นยังสามารถเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์มุมสูงของโตเกียวไปพร้อมๆ กัน
และยังมีอีกโซนหนึ่งคือ The Bvlgari Bar ที่เน้นไปทางด้านค็อกเทลและเครื่องดื่มต่างๆ ที่มีการตกแต่งด้วยไม้ และใช้โทนสีเข้มเป็นหลักเพื่อสร้างบรรยากาศที่ขรึมขลัง และหากอยากได้ของฝากให้กับคนรู้จัก ก็ยังมีเซ็ทช็อคโกแลตหรูที่สามารถเลือกซื้อกลับไปได้อีกด้วย
การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน สถานี Ginza
เวลาเปิดปิด: จันทร์ - เสาร์ 15.00 – 19.00 น., อาทิตย์ 12.00 – 18.00 น.
ผู้เขียน: ชินพงศ์ มุ่งศิริ
เริ่มต้นทำงานเป็นช่างภาพอิสระหลังเรียนจบ เดินทางไปถ่ายภาพที่ประเทศญี่ปุ่นบ่อยครั้งจนครบทั้ง 4 ฤดูอันสวยงาม และเกือบครบทุกภูมิภาค มีผลงานภาพถ่ายตีพิมพ์ในไกด์บุ๊คระดับโลกอย่าง Lonely Planet ถึง 3 เล่ม คือ Discovery Japan, Japan และ Kyoto รวมถึงเว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำอย่าง National Geographic Traveler UK, BBC Travel, Travel+Leisure, TIME และอีกมาก
นอกจากการถ่ายทอดความสวยงามของประเทศญี่ปุ่นผ่านภาพถ่าย ปัจจุบันยังหันมาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านทางตัวอักษรทั้งในฐานะนักเขียนและนักแปลควบคู่กันไปอีกด้วย